การใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น
การใช้ประโยชน์จากข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา
อะไรคือข้อมูลสิทธิบัตร
ข้อมูลสิทธิบัตรเป็นข้อมูลทางเทคนิคและกฎหมายที่บรรจุอยู่ในเอกสารสิทธิบัตรซึ่งตีพิมพ์โดยสำนักงานสิทธิบัตร เอกสารสิทธิบัตรประกอบด้วยคำอธิบายสิ่งประดิษฐ์โดยละเอียดเกี่ยวกับการทำงานของสิ่งประดิษฐ์และข้อถือสิทธิที่กำหนดขอบเขตของการประดิษฐ์ ประมาณสองในสามของข้อมูลทางเทคนิคที่เปิดเผยในสิทธิบัตรไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อนและในปัจจุบันมีเอกสารสิทธิบัตรประมาณสี่สิบล้านคำขอ ข้อมูลสิทธิบัตรจึงเป็นการรวบรวมข้อมูลเทคโนโลยีที่จัดประเภทแล้วอย่างครอบคลุมสมบูรณ์
ทำไมข้อมูลสิทธิบัตรจึงมีประโยชน์ต่อบริษัท
ข้อมูลสิทธิบัตรมีประโยชน์ต่อบริษัทขนาดกลางและเล็กหลายประการ ประโยชน์ที่สำคัญประการหนึ่งคือแหล่งข้อมูลทางเทคนิคซึ่งบริษัทสามารถค้นหามูลค่าในการวางแผนการทางธุรกิจได้ สิ่งประดิษฐ์ส่วนใหญ่เปิดเผยต่อสาธารณะครั้งแรกในรูปของสิทธิบัตร ดังนั้น สิทธิบัตรให้วิธรการในการเรียนรู้เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยและทำนวัตกรรมก่อนที่นวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์นั้นจะออกสู่ตลาด ข้อมูลทางเทคนิคที่อยู่ในเอกสารสิทธิบัตรสามารถให้บริษัทเข้าใจในสิ่งดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการลงทุนศึกษาวิจัยในสิ่งที่มีการดำเนินการมาแล้ว
- ระบุและประเมินเทคโนโลยีในการอนุญาตให้ใช้สิทธิหรือถ่ายทอดเทคโนโลยี
- ระบุเทคโนโลยีทางเลือก
- เรียนรู้เท่าทันพัฒนาการวิทยาการในสาขาที่เชี่ยวชาญ
- ค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหาในทางเทคนิคที่มีอยู่แล้ว
- ได้ความคิดในการพัฒนานวัตกรรมต่อไป
สำหรับในมุมมองด้านเชิงพาณิชย์ของบริษัทแล้ว ข้อมูลสิทธิบัตรอาจช่วยเหลือในเรื่องดังต่อไปนี้
- ระบุพันธมิตรทางธุรกิจ
- ระบุผู้ขายสินค้าหรือวัสดุ
- ดูแลตรวจสอบกิจกรรมของคู่แข่งขัน
- ระบุตลาดเฉพาะ
นอกจากนี้แล้ว ข้อมูลที่อยู่ในเอกสารสิทธิบัตรอาจช่วยเหลือในเรื่องดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงปัญหาการละเมิดสิทธิของผู้อื่น
- ประเมินสิ่งประดิษฐ์ของตนเองว่าจะขอรับความคุ้มครองได้หรือไม่
- คัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรที่ขัดแย้งกับสิทธิบัตรของตน
ประโยชน์หรือข้อดีของข้อมูลสิทธิบัตร
- บางครั้งข้อมูลสิทธิบัตรไม่ได้มีการเปิดเผยในเอกสารวิชาการอย่างอื่น
- ข้อมูลสิทธิบัตรมีรูปแบบที่มีมาตรฐาน รวมทั้งบทสรุป ข้อมูลอ้างอิง คำอธิบาย ภาพวาดของสิ่งประดิษฐ์อย่างละเอียด
- ข้อมูลสิทธิบัตรมีการจำแนกประเภทอย่างมีระบบตามประเภทเทคนิค
- ข้อมูลสิทธิบัตรให้ตัวอย่างของการนำสิ่งประดิษฐ์ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์
- ข้อมูลสิทธิบัตรครอบคลุมทุกสาขาเทคโนโลยี
วิธีการใช้ประโยชน์ข้อมูลสิทธิบัตร
ในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ฐานข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาที่สามารถสืบค้นได้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้ช่วยเหลือและให้ความสะดวกและใช้ประโยชน์ในข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากนี้สำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของแต่ละประเทศก็มักจะจัดหาระบบฐานข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาในรูปแบบอื่นเพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้อีก แหล่งข้อมูลที่บริษัทอาจใช้ประโยชน์ได้มีดังนี้
- ฐานข้อมูลดิจิตอลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO)
- สำนักงานสิทธิบัตรของประเทศ
- สำนักงานกฎหมายหรือตัวแทนสิทธิบัตร รวมทั้งหน่วยงานให้บริการข้อมูลสิทธิบัตร
- ศูนย์บริการข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาและห้องสมุด
- การสืบค้นโดยทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยตนเองหรือด้วยซีดีรอม
การขออนุญาตใช้สิทธิบัตรของบุคคลอื่น (licensing in)
ในบางครั้งบริษัทอาจจำเป็นต้องได้มาซึ่งเทคโนโลยีของบุคคลอื่นและตนเองอาจไม่ต้องการเสียเวลาในการวิจัยและพัฒนา การขออนุญาตใช้สิทธิในเทคโนโลยีจากบุคคลอื่นก็อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง คำถามที่สำคัญคือ
• การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนั้นภายในบริษัทเป็นไปได้หรือไม่ และต้องใช้เวลานานเพียงใดและมีต้นทุนเท่าไร
• ผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยีที่จะขออนุญาตใช้สิทธินั้นตรงตามที่ต้องการหรือไม่ทั้งในเชิงเทคนิคและการตลาด
• เงื่อนไขต่าง ๆ ในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธินั้นเป็นธรรมหรือไม่ และ
• ผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยีนั้นสามารถสามารถผลิตหรือใช้งานได้จริง
• ผู้อนุญาตให้ใช้สิทธิเต็มใจหรือสามารถกระทำตามเงื่อนไขที่ต้องการได้หรือไม่ โดยเฉพาะการสนับสนุนทางด้านต่าง ๆ
สำหรับเหตุผลในการขออนุญาตบุคคลอื่นใช้สิทธิมีดังนี้
• เพื่อผลิตสินค้าที่มีมาตรฐาน เนื่องจากหลายมาตรฐานได้ระบุเทคโนโลยีที่เอกชนเป็นเจ้าของ เพื่อสามารถแข่งขันในตลาดได้ ผู้ขายอาจจำเป็นต้องขออนุญาตใช้สิทธิในเทคโนโลยีในผลิตภัณฑ์ของตน
• เพื่อย่นระยะเวลาในการเข้าสู่ตลาด
• เพื่อลดการละเมิดสิทธิบุคคลอื่น เพราะหากใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของบุคคลอื่นโดยมิได้รับอนุญาตก็อาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ซึ่งอาจต้องจ่ายค่าเสียหายและค่าปรับแก่เจ้าของสิทธิ
2.3 การสร้างมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา
บางคำถามจำเป็นต้องมีการตอบก่อนที่จะมีการประเมินสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา เช่น
• ทรัพย์สินทางปัญญาใดที่ใช้ในธุรกิจ
• จะปกป้องหรือคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญานั้นอย่างใด
• อะไรคือมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญา
• ระดับความเสี่ยงของทรัพย์สินทางปัญญามีเพียงใด
• ใครเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา
• จะมีผู้อื่นมาฟ้องร้องดำเนินคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาหรือไม่
• มูลค่าปัจจุบันสุทธิของการเรียกร้องค่าเสียหาย
เมื่อประเมินมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญา จำเป็นต้องประเมินทุกแง่มุมเกี่ยวกับการโอนสิทธิในภาพรวม ปัจจัยสำคัญที่จะนำมาใช้พิจารณาในการประเมินเทคโนโลยีคือ
ขนาด : มีตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ของเทคโนโลยีหรือไม่
ขอบเขต : ขอบเขตที่เหมาะสมของการใช้เทคโนโลยีในตลาด
ความสมบูรณ์ : เทคโนโลยีได้รับการยอมรับจากตลาดหรือไม่ หรือจำเป็นต้องพัฒนาอีก
ความล้าสมัย : เทคโนโลยีนั้นล้าสมัยไปแล้วหรือไม่ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงพัฒนาต่อไปอีกหรือไม่
สิ่งแวดล้อม : เทคโนโลยีสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมในสภาพแวดล้อมของผู้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิหรือไม่
ความเหมาะสม : เทคโนโลยีมีความเหมาะสมกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่หรือไม่
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งสำหรับนักประดิษฐ์คือมักจะพยายามขายสิ่งประดิษฐ์โดยมิได้ดำเนินการใด ๆ ต่อเช่น การขอรับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาก่อนหรือพัฒนาแนวความคิดดังกล่าวให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น การผลิตเครื่องจักรต้นแบบ เป็นต้น
สำหรับแนวความคิดในการหาประโยชน์เชิงพาณิชย์ สิ่งประดิษฐ์มีลักษณะและคุณสมบัติคล้ายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ความแตกต่างจากสินค้าทั่วไปคือทรัพย์สินทางปัญญาสามารถใช้พร้อมกันโดยบุคคลหลายคน และดังนั้นทำให้สามารถขายหรืออนุญาตให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์ได้ในขณะเดียวกัน
กลยุทธ์ทางการค้าและการตลาดขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งประดิษฐ์และสาขาวิทยาการเทคโนโลยี กลยุทธ์จะแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจำนวนมากและสำหรับสิ่งประดิษฐ์ในสาขาวิทยาการที่พิเศษเฉพาะที่มีการผลิตจำนวนน้อย สภาพแวดล้อมด้านการตลาด ลูกค้าและจารีตประเพณี ความสามารถและอำนาจในการซื้อของลูกค้าจะเป็นตัวกำหนดวิธีการและแนวทางที่จะดำเนินการ
การหาประโยชน์เชิงพาณิชย์และการทำการตลาดสำหรับสิ่งประดิษฐ์นั้นเป็นกระบวนการสลับซับซ้อนและต้องดำเนินการอย่างผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพและต้องใช้ผู้ชำนาญการในการทำให้ประสบผลสำเร็จ นักประดิษฐ์จะต้องหาผู้เชี่ยวชาญในการให้ความช่วยเหลือ
ในมุมมองของเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ มีแนวทางหลายแบบที่จะนำสิ่งประดิษฐ์ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เช่น การดำเนินการผลิตและทำการตลาดเอง การอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้สิทธิในการผลิตหรือทำการตลาดแทน การขายสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือ ดำเนินการหลายแบบข้องต้น เป็นต้น
การตัดสินที่จะเลือกวิธีการใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์อาจช่วยในการตัดสินใจได้ รวมทั้งกลยุทธ์ทางธุรกิจของเจ้าของด้วย ทั้งนี้ รายได้จากสิ่งประดิษฐ์จะขึ้นอยู่กับการลงทุนในการผลิต พัฒนา และทำการตลาด อาทิ หากผู้ประดิษฐ์คาดหวังรายได้ที่สูงก็อาจจะต้องลงทุนผลิตและทำการตลาดเอง แต่ความเสี่ยงก็จะสูงด้วย แต่หากมีการอนุญาตให้ใช้สิทธิ ผลตอบแทนก็จะต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม แต่ละกรณีจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์และประเมิน โดยคำนึงถึงลักษณะของสิ่งประดิษฐ์ ความต้องการ เงื่อนไขและศักยภาพของตลาด และความตั้งใจของนักประดิษฐ์ในการพัฒนาต่อ นอกจากนี้ แผนธุรกิจที่ดีและต้นแบบที่มีศักยภาพเป็นสิ่งที่จูงใจนักลงทุน ผู้ผลิตและผู้ใช้ และการได้รับความคุ้มครองในรูปแบบสิทธิบัตรก็ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ดีในกระบวนการหาประโยชน์เชิงพาณิชย์
โดยทั่วไปการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์มักจะเริ่มต้นในระดับท้องถิ่นก่อนและมักจะสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้า เพื่อจะได้ทดสอบผลิตภัณฑ์และเมื่อประสบความสำเร็จก็อาจขยายการหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และทำการตลาด
สำหรับหุ้นส่วนหรือผู้ซื้อสิ่งประดิษฐ์อาจดำเนินการแตกต่างออกไป เช่น อาจติดต่อโดยตรงกับบริษัทอื่น ติดต่อกับหอการค้า ติดต่อกับสภาอุตสาหกรรม หรือจัดแสดงในงานนิทรรศการ หรือใช้บริการนายหน้า การติดต่อทั้งหมดจะต้องดำเนินการสอดคล้องและดูแลโดยการจัดทำแผนประชาสัมพันธ์ ความสำเร็จโดยมากมักขึ้นอยู่กับพันธมิตรหรือคู่ค้าที่เชื่อถือได้
ในทางปฏิบัติโดยทั่วไปนั้น การจะประสบความสำเร็จในการนำผลงานสิ่งประดิษฐ์ไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์นั้น เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาต้องการความช่วยเหลือดังต่อไปนี้
• การประเมินเทคโนโลยีทางเทคนิคในสิ่งประดิษฐ์หรือโครงการวิจัย
• การประเมินทางเศรษฐกิจหรือวิจัยตลาด
• คำปรึกษาจากนักกฎหมาย
• การติดต่อกับผู้ใช้
• ประสบการณ์ในการเจรจาทางธุรกิจ
• การติดต่อกับบริษัทหรือแหล่งเงิน
• การขอรับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
• คำแนะนำในการผลิตและจัดทำต้นแบบ
หลายมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยมักจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือนักวิจัยและพนักงานในการขอรับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยอาจรวมทั้งการให้ความช่วยเหลือโดยผู้เชี่ยวชาญในการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ทั้งในด้านเทคนิค กฎหมาย การตลาด และการเงิน เป็นต้น
การใช้ประโยชน์จากข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา
อะไรคือข้อมูลสิทธิบัตร
ข้อมูลสิทธิบัตรเป็นข้อมูลทางเทคนิคและกฎหมายที่บรรจุอยู่ในเอกสารสิทธิบัตรซึ่งตีพิมพ์โดยสำนักงานสิทธิบัตร เอกสารสิทธิบัตรประกอบด้วยคำอธิบายสิ่งประดิษฐ์โดยละเอียดเกี่ยวกับการทำงานของสิ่งประดิษฐ์และข้อถือสิทธิที่กำหนดขอบเขตของการประดิษฐ์ ประมาณสองในสามของข้อมูลทางเทคนิคที่เปิดเผยในสิทธิบัตรไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อนและในปัจจุบันมีเอกสารสิทธิบัตรประมาณสี่สิบล้านคำขอ ข้อมูลสิทธิบัตรจึงเป็นการรวบรวมข้อมูลเทคโนโลยีที่จัดประเภทแล้วอย่างครอบคลุมสมบูรณ์
ทำไมข้อมูลสิทธิบัตรจึงมีประโยชน์ต่อบริษัท
ข้อมูลสิทธิบัตรมีประโยชน์ต่อบริษัทขนาดกลางและเล็กหลายประการ ประโยชน์ที่สำคัญประการหนึ่งคือแหล่งข้อมูลทางเทคนิคซึ่งบริษัทสามารถค้นหามูลค่าในการวางแผนการทางธุรกิจได้ สิ่งประดิษฐ์ส่วนใหญ่เปิดเผยต่อสาธารณะครั้งแรกในรูปของสิทธิบัตร ดังนั้น สิทธิบัตรให้วิธรการในการเรียนรู้เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยและทำนวัตกรรมก่อนที่นวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์นั้นจะออกสู่ตลาด ข้อมูลทางเทคนิคที่อยู่ในเอกสารสิทธิบัตรสามารถให้บริษัทเข้าใจในสิ่งดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการลงทุนศึกษาวิจัยในสิ่งที่มีการดำเนินการมาแล้ว
- ระบุและประเมินเทคโนโลยีในการอนุญาตให้ใช้สิทธิหรือถ่ายทอดเทคโนโลยี
- ระบุเทคโนโลยีทางเลือก
- เรียนรู้เท่าทันพัฒนาการวิทยาการในสาขาที่เชี่ยวชาญ
- ค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหาในทางเทคนิคที่มีอยู่แล้ว
- ได้ความคิดในการพัฒนานวัตกรรมต่อไป
สำหรับในมุมมองด้านเชิงพาณิชย์ของบริษัทแล้ว ข้อมูลสิทธิบัตรอาจช่วยเหลือในเรื่องดังต่อไปนี้
- ระบุพันธมิตรทางธุรกิจ
- ระบุผู้ขายสินค้าหรือวัสดุ
- ดูแลตรวจสอบกิจกรรมของคู่แข่งขัน
- ระบุตลาดเฉพาะ
นอกจากนี้แล้ว ข้อมูลที่อยู่ในเอกสารสิทธิบัตรอาจช่วยเหลือในเรื่องดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงปัญหาการละเมิดสิทธิของผู้อื่น
- ประเมินสิ่งประดิษฐ์ของตนเองว่าจะขอรับความคุ้มครองได้หรือไม่
- คัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรที่ขัดแย้งกับสิทธิบัตรของตน
ประโยชน์หรือข้อดีของข้อมูลสิทธิบัตร
- บางครั้งข้อมูลสิทธิบัตรไม่ได้มีการเปิดเผยในเอกสารวิชาการอย่างอื่น
- ข้อมูลสิทธิบัตรมีรูปแบบที่มีมาตรฐาน รวมทั้งบทสรุป ข้อมูลอ้างอิง คำอธิบาย ภาพวาดของสิ่งประดิษฐ์อย่างละเอียด
- ข้อมูลสิทธิบัตรมีการจำแนกประเภทอย่างมีระบบตามประเภทเทคนิค
- ข้อมูลสิทธิบัตรให้ตัวอย่างของการนำสิ่งประดิษฐ์ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์
- ข้อมูลสิทธิบัตรครอบคลุมทุกสาขาเทคโนโลยี
วิธีการใช้ประโยชน์ข้อมูลสิทธิบัตร
ในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ฐานข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาที่สามารถสืบค้นได้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้ช่วยเหลือและให้ความสะดวกและใช้ประโยชน์ในข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากนี้สำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของแต่ละประเทศก็มักจะจัดหาระบบฐานข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาในรูปแบบอื่นเพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้อีก แหล่งข้อมูลที่บริษัทอาจใช้ประโยชน์ได้มีดังนี้
- ฐานข้อมูลดิจิตอลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO)
- สำนักงานสิทธิบัตรของประเทศ
- สำนักงานกฎหมายหรือตัวแทนสิทธิบัตร รวมทั้งหน่วยงานให้บริการข้อมูลสิทธิบัตร
- ศูนย์บริการข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาและห้องสมุด
- การสืบค้นโดยทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยตนเองหรือด้วยซีดีรอม
การขออนุญาตใช้สิทธิบัตรของบุคคลอื่น (licensing in)
ในบางครั้งบริษัทอาจจำเป็นต้องได้มาซึ่งเทคโนโลยีของบุคคลอื่นและตนเองอาจไม่ต้องการเสียเวลาในการวิจัยและพัฒนา การขออนุญาตใช้สิทธิในเทคโนโลยีจากบุคคลอื่นก็อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง คำถามที่สำคัญคือ
• การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนั้นภายในบริษัทเป็นไปได้หรือไม่ และต้องใช้เวลานานเพียงใดและมีต้นทุนเท่าไร
• ผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยีที่จะขออนุญาตใช้สิทธินั้นตรงตามที่ต้องการหรือไม่ทั้งในเชิงเทคนิคและการตลาด
• เงื่อนไขต่าง ๆ ในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธินั้นเป็นธรรมหรือไม่ และ
• ผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยีนั้นสามารถสามารถผลิตหรือใช้งานได้จริง
• ผู้อนุญาตให้ใช้สิทธิเต็มใจหรือสามารถกระทำตามเงื่อนไขที่ต้องการได้หรือไม่ โดยเฉพาะการสนับสนุนทางด้านต่าง ๆ
สำหรับเหตุผลในการขออนุญาตบุคคลอื่นใช้สิทธิมีดังนี้
• เพื่อผลิตสินค้าที่มีมาตรฐาน เนื่องจากหลายมาตรฐานได้ระบุเทคโนโลยีที่เอกชนเป็นเจ้าของ เพื่อสามารถแข่งขันในตลาดได้ ผู้ขายอาจจำเป็นต้องขออนุญาตใช้สิทธิในเทคโนโลยีในผลิตภัณฑ์ของตน
• เพื่อย่นระยะเวลาในการเข้าสู่ตลาด
• เพื่อลดการละเมิดสิทธิบุคคลอื่น เพราะหากใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของบุคคลอื่นโดยมิได้รับอนุญาตก็อาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ซึ่งอาจต้องจ่ายค่าเสียหายและค่าปรับแก่เจ้าของสิทธิ
2.3 การสร้างมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา
บางคำถามจำเป็นต้องมีการตอบก่อนที่จะมีการประเมินสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา เช่น
• ทรัพย์สินทางปัญญาใดที่ใช้ในธุรกิจ
• จะปกป้องหรือคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญานั้นอย่างใด
• อะไรคือมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญา
• ระดับความเสี่ยงของทรัพย์สินทางปัญญามีเพียงใด
• ใครเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา
• จะมีผู้อื่นมาฟ้องร้องดำเนินคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาหรือไม่
• มูลค่าปัจจุบันสุทธิของการเรียกร้องค่าเสียหาย
เมื่อประเมินมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญา จำเป็นต้องประเมินทุกแง่มุมเกี่ยวกับการโอนสิทธิในภาพรวม ปัจจัยสำคัญที่จะนำมาใช้พิจารณาในการประเมินเทคโนโลยีคือ
ขนาด : มีตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ของเทคโนโลยีหรือไม่
ขอบเขต : ขอบเขตที่เหมาะสมของการใช้เทคโนโลยีในตลาด
ความสมบูรณ์ : เทคโนโลยีได้รับการยอมรับจากตลาดหรือไม่ หรือจำเป็นต้องพัฒนาอีก
ความล้าสมัย : เทคโนโลยีนั้นล้าสมัยไปแล้วหรือไม่ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงพัฒนาต่อไปอีกหรือไม่
สิ่งแวดล้อม : เทคโนโลยีสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมในสภาพแวดล้อมของผู้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิหรือไม่
ความเหมาะสม : เทคโนโลยีมีความเหมาะสมกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่หรือไม่
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งสำหรับนักประดิษฐ์คือมักจะพยายามขายสิ่งประดิษฐ์โดยมิได้ดำเนินการใด ๆ ต่อเช่น การขอรับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาก่อนหรือพัฒนาแนวความคิดดังกล่าวให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น การผลิตเครื่องจักรต้นแบบ เป็นต้น
สำหรับแนวความคิดในการหาประโยชน์เชิงพาณิชย์ สิ่งประดิษฐ์มีลักษณะและคุณสมบัติคล้ายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ความแตกต่างจากสินค้าทั่วไปคือทรัพย์สินทางปัญญาสามารถใช้พร้อมกันโดยบุคคลหลายคน และดังนั้นทำให้สามารถขายหรืออนุญาตให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์ได้ในขณะเดียวกัน
กลยุทธ์ทางการค้าและการตลาดขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งประดิษฐ์และสาขาวิทยาการเทคโนโลยี กลยุทธ์จะแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจำนวนมากและสำหรับสิ่งประดิษฐ์ในสาขาวิทยาการที่พิเศษเฉพาะที่มีการผลิตจำนวนน้อย สภาพแวดล้อมด้านการตลาด ลูกค้าและจารีตประเพณี ความสามารถและอำนาจในการซื้อของลูกค้าจะเป็นตัวกำหนดวิธีการและแนวทางที่จะดำเนินการ
การหาประโยชน์เชิงพาณิชย์และการทำการตลาดสำหรับสิ่งประดิษฐ์นั้นเป็นกระบวนการสลับซับซ้อนและต้องดำเนินการอย่างผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพและต้องใช้ผู้ชำนาญการในการทำให้ประสบผลสำเร็จ นักประดิษฐ์จะต้องหาผู้เชี่ยวชาญในการให้ความช่วยเหลือ
ในมุมมองของเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ มีแนวทางหลายแบบที่จะนำสิ่งประดิษฐ์ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เช่น การดำเนินการผลิตและทำการตลาดเอง การอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้สิทธิในการผลิตหรือทำการตลาดแทน การขายสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือ ดำเนินการหลายแบบข้องต้น เป็นต้น
การตัดสินที่จะเลือกวิธีการใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์อาจช่วยในการตัดสินใจได้ รวมทั้งกลยุทธ์ทางธุรกิจของเจ้าของด้วย ทั้งนี้ รายได้จากสิ่งประดิษฐ์จะขึ้นอยู่กับการลงทุนในการผลิต พัฒนา และทำการตลาด อาทิ หากผู้ประดิษฐ์คาดหวังรายได้ที่สูงก็อาจจะต้องลงทุนผลิตและทำการตลาดเอง แต่ความเสี่ยงก็จะสูงด้วย แต่หากมีการอนุญาตให้ใช้สิทธิ ผลตอบแทนก็จะต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม แต่ละกรณีจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์และประเมิน โดยคำนึงถึงลักษณะของสิ่งประดิษฐ์ ความต้องการ เงื่อนไขและศักยภาพของตลาด และความตั้งใจของนักประดิษฐ์ในการพัฒนาต่อ นอกจากนี้ แผนธุรกิจที่ดีและต้นแบบที่มีศักยภาพเป็นสิ่งที่จูงใจนักลงทุน ผู้ผลิตและผู้ใช้ และการได้รับความคุ้มครองในรูปแบบสิทธิบัตรก็ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ดีในกระบวนการหาประโยชน์เชิงพาณิชย์
โดยทั่วไปการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์มักจะเริ่มต้นในระดับท้องถิ่นก่อนและมักจะสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้า เพื่อจะได้ทดสอบผลิตภัณฑ์และเมื่อประสบความสำเร็จก็อาจขยายการหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และทำการตลาด
สำหรับหุ้นส่วนหรือผู้ซื้อสิ่งประดิษฐ์อาจดำเนินการแตกต่างออกไป เช่น อาจติดต่อโดยตรงกับบริษัทอื่น ติดต่อกับหอการค้า ติดต่อกับสภาอุตสาหกรรม หรือจัดแสดงในงานนิทรรศการ หรือใช้บริการนายหน้า การติดต่อทั้งหมดจะต้องดำเนินการสอดคล้องและดูแลโดยการจัดทำแผนประชาสัมพันธ์ ความสำเร็จโดยมากมักขึ้นอยู่กับพันธมิตรหรือคู่ค้าที่เชื่อถือได้
ในทางปฏิบัติโดยทั่วไปนั้น การจะประสบความสำเร็จในการนำผลงานสิ่งประดิษฐ์ไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์นั้น เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาต้องการความช่วยเหลือดังต่อไปนี้
• การประเมินเทคโนโลยีทางเทคนิคในสิ่งประดิษฐ์หรือโครงการวิจัย
• การประเมินทางเศรษฐกิจหรือวิจัยตลาด
• คำปรึกษาจากนักกฎหมาย
• การติดต่อกับผู้ใช้
• ประสบการณ์ในการเจรจาทางธุรกิจ
• การติดต่อกับบริษัทหรือแหล่งเงิน
• การขอรับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
• คำแนะนำในการผลิตและจัดทำต้นแบบ
หลายมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยมักจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือนักวิจัยและพนักงานในการขอรับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยอาจรวมทั้งการให้ความช่วยเหลือโดยผู้เชี่ยวชาญในการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ทั้งในด้านเทคนิค กฎหมาย การตลาด และการเงิน เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น