วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แนวปฏิบัติที่ดีในการกำกับดูแลกิจการขนส่งทางถนน (Best Practices in Road Transport Regulation)

หลักการพื้นฐานของการกำกับดูแล
ในการศึกษาวิจัยนี้ที่ปรึกษาจะมุ่งเน้นการกำกับดูแลในทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ OECD ซึ่งมีประสบการณ์ในการเปิดเสรีและปฏิรูปการกำกับดูแลในกิจการขนส่งทางถนนมาก่อน ทั้งนี้ แนวความคิดพื้นฐานที่มีการยอมรับกันในกลุ่มประเทศ OECD คือรัฐจะสามารถดำเนินการเข้าแทรกแซงระบบเศรษฐกิจได้เมื่อเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่ากลไกตลาดล้มเหลว (Market failure) ซึ่งข้อบกพร่องของระบบตลาดดังกล่าวจะลดสวัสดิการทางสังคม การกำกับดูแลจึงเป็นเครื่องมือที่จำเป็นของรัฐในการช่วยขจัดหรือลดผลกระทบที่เกิดจาดข้อบกพร่องเหล่านี้ สิ่งที่ต้องระมัดระวังของการแทรกแซงของรัฐคือต้องพิจารณาว่าการแทรกแซงนั้นตอบสนองกับข้อบกพร่องของตลาดหรือไม่ และเลือกใช้วิธีการที่จะใช้แทรกแซงระบบตลาดให้เหมาะสมกับสภาพของปัญหา ตามหลักการแล้ว รัฐจะเข้าแทรกแซงระบบตลาด เมื่อข้อบกพร่องนั้นมีมากพอที่มีผลในทางลบต่อระบบตลาด
ในบางสถานการณ์ กลไกของระบบตลาดอาจเกิดความบกพร่องอันเนื่องมาจากกลไกของระบบตลาดทำให้ไม่สามารถบรรลุการจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Allocative Efficiency) ทั้งนี้เนื่องจากปรากฎการณ์ด้านผลกระทบภายนอก (Externalitties) หรือการแข่งขันไม่สมบูรณ์ (Imperfect Competition) เมื่อระบบตลาดไม่สามารถก่อให้เกิดการแบ่งปันที่มีประสิทธิภาพภายใต้ทฤษฎีการแข่งขันที่เสรีหรือเกิดความล้มเหลวของกลไกของตลาด รัฐบาลก็สามารถเข้ามาแทรกแซงการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของเอกชนได้ โดยการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้หลายแนวทาง อย่างเช่น รัฐบาลอาจใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาดหรือกฎหมายว่าด้วยการแข่งขัน (Antitrust or Competition Law) โดยรัฐสามารถที่จะบังคับผู้ประกอบการที่มีอำนาจครอบครองตลาดให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูสภาพการแข่งขันของตลาดให้กลับคืน หรือใช้การควบคุมกำกับดูแลในรูปแบบต่าง ๆ (Regulation) เพื่อสร้างความมีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ (Economic Efficiency)
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นหลักการพื้นฐานของการกำกับดูแลคือ รัฐบาลจะเข้าแทรกแซงอุตสาหกรรมเฉพาะกรณีที่รัฐต้องเยียวยาตลาดที่กลไกของตลาดล้มเหลว(Market Failure) หรือส่งเสริมคุณค่าทางสังคม (Social Value) เครื่องมือของรัฐที่ใช้ในการควบคุมกำกับดูแลอุตสาหกรรมมีหลากหลายรูปแบบที่จะนำมาใช้ปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว โดยอาจใช้การควบคุมราคาหรือการจำกัดอื่น ๆ เช่น การจำกัดการเข้าสู่และออกจากตลาด หรือการกำหนดมาตรฐาน เป็นต้น ตัวอย่างของเครื่องมือที่นิยมใช้มีดังนี้
  การควบคุมราคา (Price Controls)
 การควบคุมราคาเป็นรูปแบบหนึ่งของการควบคุมกำกับดูแลที่นิยมใช้กันมาก การควบคุมราคาถูกนำมาใช้มากในการควบคุมกำกับดูแลตลาดที่การผูกขาดโดยธรรมชาติ กล่าวคือ การควบคุมราคาจะใช้เพื่อควบคุมการมุ่งแสวงหากำไรสูงสุดของผู้ประกอบการที่ผูกขาด เพราะผู้ประกอบการประเภทนี้สามารถกำหนดราคาให้สูงเกินกว่าราคาตลาดที่มีการแข่งขันได้ตามอำเภอใจ การควบคุมกำกับดูแลนี้อยู่บนพื้นฐานแนวความคิดความมีประสิทธิภาพในการจัดสรร (Allocative Efficiency) และเพื่อรักษาดุลยภาพของระบบตลาด โดยทั่วไปการควบคุมราคาสินค้าหรือบริการจะใช้กับสาธารณูปโภค อาทิเช่น กิจการขนส่งคนโดยสาร จำหน่ายกระแสไฟฟ้า ประปาหรือน้ำมัน เป็นต้น โดยองค์กรกำกับดูแลจะกำหนดอัตราค่าบริการไว้
ทั้งนี้ การควบคุมกำหนดราคาของสินค้าหรือบริการมีหลายรูปแบบ เช่น การควบคุมราคาขั้นสูง (Price ceiling) การควบคุมราคาขั้นต่ำ (Minimum price) หรือการควบคุมราคาที่แตกต่างหลายระดับ นอกจากนี้ในบางครั้งรัฐใช้กลไกการควบคุมและกำหนดราคาเพื่อบรรลุนโยบายบางประการทางเศรษฐกิจ การควบคุมกำกับดูแลอัตราราคาขั้นต่ำ (Minimum price) มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ราคาภายในตลาดและกำไรของบริษัทสูงกว่าราคาหรือกำไรที่อาจเกิดจากการแข่งขันที่ทำลายกันเอง ทั้งนี้ ก็เพื่อช่วยผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อย ซึ่งเท่ากับเป็นการรักษาดุลยภาพของระบบตลาดให้ยังคงสภาพที่มีการแข่งขันด้วย นอกจากนี้ ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อประกันในเรื่องคุณภาพหรือความปลอดภัยของสินค้าหรือบริการ สำหรับการควบคุมกำกับดูแลอัตราราคาขั้นสูง (Price Ceiling) มีวัตถุประสงค์คือ ต้องการหลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบที่อาจเกิดจากการผูกขาดหรือการจำกัดการเข้าสู่ตลาด อย่างไรก็ตามการจำกัดการเข้าสู่ตลาดอาจไม่มีความจำเป็น หากกิจการประเภทนั้นเป็นการผูกขาดโดยธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะหากการประหยัดโดยการผลิตใหญ่มีขนาดมากพอที่จะบริการหรือตอบสนองความต้องการของตลาดได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำโดยบริษัทเดียว บริษัทคู่แข่งอื่นอาจไม่อยากเข้ามาในกิจการประเภทนั้นๆ หรือรัฐอาจจำกัดการเข้าสู่ตลาดก็ได้เพราะการเพิ่มจำนวนบริษัทในกิจการประเภทนี้ไม่ได้มีผลดีต่อระบบตลาดและสังคม
อย่างไรก็ตาม การควบคุมกำกับดูแลเรื่องราคาก็อาจไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาในบางสถานการณ์ เช่น การควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็นบางประเภท ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องจากการขาดข้อมูลข่าวสาร ผู้บริโภคเกิดความเห่อ หรือราคาสินค้าถูกบิดเบือนโดยบุคคลภายนอก เป็นต้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการอื่น ๆ มาประกอบ เพื่อช่วยให้สามารถแก้ไขและควบคุมปัญหาทางเศรษฐกิจเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐและเป็นผลประโยชน์ต่อประชาชน

การควบคุมการเข้าสู่ตลาดและการออกจากตลาด ( Entry and Exit Controls)
การควบคุมกำกับดูแลอาจอยู่ในรูปของการจำกัดการเข้าสู่ตลาดหรือออกจากตลาดของผู้ประกอบการในกิจการบางประเภท โดยการกำหนดเงื่อนไขของการเข้าสู่หรือออกจากตลาดของผู้ประกอบการหรือคุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ประสงค์จะเข้าสู่ตลาดในกฎหมาย หรือให้อำนาจผู้กำกับดูแล (Regulator) เป็นผู้มีอำนาจตัดสินว่าเมื่อไรและอย่างไรสามารถเข้าสู่ตลาดหรือหยุดให้บริการได้
ในหลายๆอุตสาหกรรมได้จำกัดอำนาจของเอกชนหรือผู้ประกอบการในการเข้าสู่ตลาด เหตุผลของการจำกัดการเข้าสู่ตลาดมีหลากหลายประการ โดยเฉพาะการบริการทางวิชาชีพต่าง ๆ เช่น แพทย์ ทนายความ วิศวกร หรือสถาปนิก เป็นต้น บุคคลทั่วไปหากไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ก็ไม่สามารถประกอบอาชีพหรือให้บริการนั้นๆได้ ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการควบคุมกำกับดูแลการบริการวิชาชีพที่สำคัญต่าง ๆ คือต้องการให้ความคุ้มครองผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคไม่สามารถรู้ว่าคนไหนมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะให้บริการในเรื่องเฉพาะเหล่านั้นได้ และบริการเหล่านี้มีความสำคัญต้องอาศัยความรู้ความสามารถเฉพาะ
นอกจากนี้ ในบางกรณีเพื่อให้การจัดสรรการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หรือปกป้องรักษาระบบการกำกับดูแลการผูกขาดโดยธรรมชาติที่สมดุลและมีประสิทธิภาพแล้ว รัฐอาจมีการจำกัดการเข้าสู่กิจการบางประเภท โดยต้องการกำหนดโครงสร้างตลาดให้มีความสมดุล กิจการที่รัฐมักจะควบคุมโครงสร้างไว้ ได้แก่ กิจการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า กิจการประปา กิจการขนส่ง หรือกิจการสื่อสาร เป็นต้น เพราะการมีผู้ให้บริการมากเกินไปก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อการแข่งขันหรือประสิทธิภาพในการให้บริการ อาจก่อให้เกิดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนหรือมากเกินสมควรจนทพลายตลาดเอง
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าในบางกิจการอาจมีการใช้การจำกัดการเข้าสู่ตลาดควบคู่ไปกับการกำหนดควบคุมอัตราราคาขั้นต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดการแข่งขันที่ทำลายกันเองหรือการแข่งขันที่มากเกินไป ทั้งนี้เพราะหากไม่มีการจำกัดการเข้าสู่ตลาด การควบคุมเฉพาะการกำหนดอัตราราคาขั้นต่ำ อาจนำไปสู่การลงทุนที่มากเกินไปในตลาดนั้นและมีการแข่งขันสูงหากเป็นกิจการที่มีแรงจูงใจสูงในการลงทุน ซึ่งต่อมาการลงทุนที่มากเกินไปอาจนำไปสู่การลดลงของกำไรของบริษัท จนอาจกลายเป็นตลาดที่มีการทำลายกันเอง เห็นได้ชัดในกิจการขนส่งทั้งทางบกและทางอากาศ โดยมีการจำกัดจำนวนผู้ที่เข้ามาประกอบการในธุรกิจประเภทนี้และกำหนดอัตราค่าโดยสารหรือค่าขนส่งขั้นต่ำไว้ด้วย เพื่อให้บริษัทที่เข้ามาประกอบการสามารถดำเนินการอยู่ได้ โดยไม่มีการตัดราคากัน จนทำให้บางบริษัทต้องออกจากการแข่งขันจากธุรกิจประเภทนี้ไป
การควบคุมกำกับดูแลการออกจากตลาดนั้นได้บังคับห้ามบริษัทหยุดกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อนจากหน่วยงานของรัฐที่ดูแลในเรื่องนี้ ซึ่งหน่วยงานของรัฐอาจจะอนุญาตให้บริษัทหยุดให้บริการได้ หากการหยุดกิจการนั้นไม่มีผลกระทบกระเทือนกับความจำเป็นของสังคม เหตุผลและเงื่อนไขที่สำคัญที่จำเป็นต้องมีการควบคุมกำกับดูแลการหยุดให้บริการของผูกประกอบการ มีดังนี้
(1) เพื่อความเป็นธรรมในสังคม ผู้ประกอบการที่ผูกขาดหรือเกี่ยวข้องกับกิจการสาธารณูปโภคไม่ควรจะอนุญาตให้หยุดการให้บริการหรือผลิตสินค้าเพียงเพราะเหตุผลว่าการดำเนินกิจการขาดทุนหรือไม่มีกำไร
(2) ในบางกรณีหากมีการหยุดให้บริการอาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงทางสังคม เช่น การหยุดให้บริการทางสาธารณสุข สวัสดิการทางสังคม หรือความปลอดภัยของประชาชนในสังคม เป็นต้น
(3) ผู้ประกอบการประเภทอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้บริการหรือสาธารณูปโภคนั้น ๆ ต้องการความมั่นใจและเชื่อใจในเสถียรภาพและมั่นคงของการดำเนินการให้บริการ มิฉะนั้นอาจไม่มีการลงทุนในกิจการอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องใช้สาธารณูปโภคหรือบริการนั้น และนำไปสู่ผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจโดยสมบูรณ์

การกำหนดมาตรฐานหรือคุณภาพ (Standard Setting)
การกำหนดมาตรฐานของสินค้าหรือบริการเป็นวิธีการควบคุมกำกับดูแลของรัฐทีสำคัญประเภทหนึ่ง ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความคุ้มครองผู้บริโภค อันเนื่องมาจากผู้ประกอบการอาจผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือให้บริการที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคหรือผู้ใช้บริการได้ ตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมสายการบินมีการแข่งขันที่เข้มข้น มีการตัดราคาค่าโดยสารจนกระทั่งต่ำมาก เนื่องจากการตัดราคาค่าโดยสารทำให้บริษัทสายการบินหลายสายไม่สามารถได้กำไรจากการประกอบธุรกิจ บริษัทเหล่านี้เพื่อความอยู่รอดในธุรกิจจึงจำเป็นต้องลดการบริการอื่น ๆ หรือจำนวนคนงาน ที่สำคัญคือรวมทั้งการลดการตรวจตราบำรุงรักษาเครื่องบิน ดังนั้น รัฐจึงจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซง เพื่อให้ความคุ้มครองและปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการ โดยการกำหนดมาตรฐานหรือคุณภาพของการให้บริการ โดยเฉพาะการตรวจซ่อมบำรุงรักษาเครื่องบินให้มีสภาพที่ปลอดภัยสำหรับการบินทุกครั้ง
นอกจากนี้ การควบคุมกำกับดูแลในเรื่องการกำหนดมาตรฐานหรือคุณภาพอาจมีวัตถุประสงค์ทางสังคมที่หลากหลาย เช่น การคุ้มครองผู้บริโภค ความปลอดภัยของสินค้า การปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อม หรือการคุ้มครองคนงาน เป็นต้น โดยรัฐอาจบังคับโดยการลงโทษทางอาญา การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการ การปรับทางแพ่ง หรือใช้วิธีจูงใจแบบอื่น ๆ ตัวอย่างของการควบคุมกำกับดูแลโดยการกำหนดมาตรฐาน คือ ในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ รัฐได้วางมาตรฐานของการผลิตรถยนต์เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร
 ในบางอุตสาหกรรมหรือบางสถานการณ์รัฐจะเข้าแทรกแซงอุตสาหกรรมด้วยมีวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่ใช่ทางเศรษฐศาสตร์ กล่าวคือรัฐพยายามมิให้ระบบตลาดในอุตสาหกรรมนั้นขัดแย้งกับคุณค่าในสังคมหรือทางเลือกของสังคม กล่าวคือหากมีความขัดแย้งเกิดขึ้น รัฐต้องทำหน้าที่ประสานความขัดแย้งของระบบตลาดและมูลค่าของสังคม และมุมมองทางด้านที่ไม่ใช่ทางเศรษฐศาสตร์ (Non-economic objectives) ปัญหาทางจริยธรรมในระบบตลาดได้มีผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างความสัมพันธ์ในสังคม ระบบตลาดอิงอยู่บนมูลค่าของสินค้าหรือวัตถุ ขาดการคำนึงถึงมูลค่าทางสังคมกล่าวคือระบบตลาดอาจจะส่งเสริมให้เกิดมูลค่าทางสินค้าเพิ่มขึ้น แต่ระบบกลไกในสังคมอาจถูกทำลายหรือลดคุณค่าที่สำคัญทางสังคมลง ซึ่งอาจทำให้กลายเป็นสังคมที่เน้นแต่วัตถุ หากขาดการการใส่ใจทางมูลค่าสังคมในการกำกับดูแลอุตสาหกรรมบางประเภทที่มีผลกระทบหรืออิทธิพลต่อโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม ตัวอย่างของการควบคุมกำกับดูแลทางสังคม เช่น การจัดระบบการจราจร การจัดระเบียบเพื่อความปลอดภัย การจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุหรือโทรทัศน์ การอนุญาตขายหรือจำหน่ายยา  การกระจายบริการสาธารณสุขและการศึกษา ระบบประกันสังคม และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น
รัฐอาจสร้างกฎเกณฑ์หรือมาตรการการควบคุมกำกับดูแลอุตสาหกรรม เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นโยบายทางสังคมหรือการเมือง ตัวอย่างเช่น รัฐอาจมีนโยบายกระจายความมั่งคั่งไปสู่ชนบท รัฐอาจวางกฏเกณฑ์บังคับผู้ประกอบการต้องให้บริการอย่างเท่าเทียมกับชนบทที่ห่างไกล หากได้รับสัมปทานจากรัฐ หรือเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค รัฐอาจกำหนดกฎระเบียบเรื่องมาตราฐานความปลอดภัยของสินค้าหรือการให้บริการ รวมทั้งรัฐอาจใช้มาตราการสนับสนุนทางการเงินในกิจการที่เกี่ยวกับสินค้าสาธารณะ เช่น การศึกษา บริการสาธารณสุข หรือ การประกันสังคม เป็นต้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น