คดีล่าแม่มดในซาเล็ม (1692)
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1692 เมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดกลัวความลี้ลับที่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ส่งผลกระทบต่อหมู่บ้านซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ในมลรัฐแมสซาซูเซตต์ของสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มเมื่อกลุ่มเด็กผู้หญิงได้แสดงอาการแปลกประหลาด บรรดาเด็กหญิงได้ส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนออกมา และสักพักก็ล้มชักดิ้นชักงอ หน้าตาบิดเบี้ยว อยู่ในสภาวะไม่รู้สึกตัว กล่าวถ้อยคำดูหมิ่นพระเจ้าและศาสนา ถ้อยคำบางท่อนก็ฟังดูประหลาดลึกลับ คล้ายกับภาษาโบราณที่ฟังไม่ออก แพทย์ประจำหมู่บ้านได้ตรวจสอบอาการประหลาดดังกล่าวก็ไม่สามรถพบสาเหตุที่มีทำให้เกิดพฤติกรรมดังกล่าว จึงทำให้เกิดความเชื่อว่าหากอาการป่วยดังกล่าวไม่ได้มาจากสาเหตุป่วยทางการแพทย์ ก็เชื่อว่าเป็นผลงานของซาตาน ซึ่งหมายความว่ามีบรรดาแม่มดเข้ามาสิงสู่อยู่กับผู้คนในหมู่บ้านแล้ว
ในเดือนกุมภาพันธ์ คนในหมู่บ้านเริ่มสวดมนต์และถือศีลอดอาหารเพื่อจะขับไล่พลานุภาพความชั่วร้ายของปีศาจ บรรดาเด็กผู้หญิงที่มีอาการประหลาดก็ถูกกดดันให้เปิดเผยว่าใครในหมู่บ้านที่ควบคุมพฤติกรรมอยู่ ปรากฏเด็กผู้หญิงสามคนถูกระบุชื่อและสอบสวน หนึ่งในบรรดาเด็กผู้หญิงชื่อ ธิตูบา ซึ่งเป็นทาสได้สารภาพว่าเห็นปีศาจปรากฏกายให้เห็นในบางครั้งโดยมีรูปร่างเป็นเหมือนหมอกบางครั้งรูปร่างเหมือนสัตว์เดียรฉานและยังสารภาพต่อไปว่าตนเอกงเห็นว่ามีกลุ่มของแม่มดได้ร่วมมือกันและเข้ามาสิงอยู่ในหมู่บ้านแล้ว ต่อมาในเดือนมีนาคม เด็กผู้หญิงที่มีอาการประหลาดได้กล่าวหานางมาร์ธา คอร์เรย์ ซึ่งบรรดาเด็กผู้หญิงถูกประณามจากชุมชนว่าได้ร่วมมือกับปีศาจซึ่งเป็นบุคคลที่เพิ่งย้ายเข้ามาในหมู่บ้านใหม่แต่ก็เป็นศาสนิกชนที่เคร่งครัดบุคคลหนึ่งในหมู่บ้าน ตัวแทนหมู่บ้านได้ทำการสอบสวนนางมาร์ธาเพื่อค้นหาความจริง ในการสอบสวนนั้นนางมาร์ธาได้ตอบโต้แบบแดกดัน ทำให้ตัวแทนของชุมชนเสียขวัญจึงได้จับกุมนางมาร์ธาเพื่อขึ้นศาล ในกระบวนพิจารณาเป็นไปด้วยความยุ่งยากและมีการปลุกปั่น ในระหว่างดำเนินกระบวนการเด็กผู้หญิงมีอาหารชักดิ้นด้วยความเจ็บปวดเนื่องจากถูกบังคับจากพลังอำนาจที่มองไม่เห็นโดยลอกเลียนอัปกิริยาการเคลื่อนไหวของแม่มด กล่าวคือเมื่อนางมาร์ธายกเท้าบรรดาเด็กผู้หญิงก็ขยับทำตาม เมื่อนางมาร์ธากัดริมฝีปากเด็กผู้หญิงก็ทำตามอีก พร้อมส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด โดยกล่าวว่าเธอเห็นอสุรกายเป็นชายตัวดำโน้มตัวเข้ามาหา และได้ยินเสียงกลองลั่นเพื่อเรียกแม่มดให้ประชุมในลานหญ้าหน้าบ้านพิจารณาคดี ทั้งนี้ บาทหลวง Deodat Lawson ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมเยือนมาสังเกตการณ์ได้อธิบายว่า
"ในวันจันทร์ที่ 21 เดือนมีนาคม ผู้พิพากษาท้องถิ่นของหมู่บ้านได้รับการแต่งตั้งเพื่อพิจารณาคดีนี้ ในเวลาเที่ยงวันได้ประชุมกันในบ้านพิจารณาคดีซึ่งมีผู้คนชาวบ้านมามุงดู นาย Noyes เริ่มนำการสวดมนต์อย่างอดทนและน่าสงสาร นางมาร์ธาเริ่มถูกตั้งคำถามหลายคำถามตามที่ถูกกล่าวหา นางมาร์ธากลับขอสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าก่อน แต่ผู้พิพากษาไม่ยินยอม เพราะไม่มีใครต้องการมาฟังการสวดมนต์ของเธอ ทุกคนต้องการคำตอบในข้อกล่าวหา ... มีการสังเกตการณ์หลายครั้งว่าเมื่อนางมาร์ธากัดริมฝีปากล่างในระหว่างเวลาที่สอบสวน เด็กผู้หญิงก็จะกัดแขนและข้อศอกซึ่งทำให้เกิดรอยแผลต่อหน้าผู้พิพากษาและบาทหลวง หากนางมาร์ธาเอนตัวกับที่นั่งในระหว่างการสอบสวน เด็กผู้หญิงก็จะรู้สึกเจ็บปวด
... กลุ่มของเด็กผู้หญิงร้องขอถามว่าทำไมเธอไม่ไปร่วมกลุ่มกับแม่มดคนอื่นในแหล่งชุมนุมของแม่มด เธอได้ยินเสียงกลองเรียกประชุมหรือไม่ พวกเด็กผู้หญิงกล่าวหาว่าเธอคุ้นเคยรู้จักกับบรรดาปีศาจเป็นอย่างดีซึ่งเป็นชายผิวดำที่ชอบมากระซิบข้างหูพวกเธอ พวกเด็กผู้หญิงยังยืนยันต่อไปว่าพวกเธอเห็นว่านกน้อยสีเหลืองดูดระหว่างนิ้วของเธอในการชุมนุมของแม่มดและมีการออกคำสั่งให้เห็นหากมีการให้สัญญาณ เด็กผู้หญิงที่เห็นกล่าวว่าเป็นช่วงเย็นแล้วและนางมาร์ธากำลังย้ายเข็มจากหุ่นไปยังหัว ซึ่งทำให้มีอาการเจ็บปวดทันที ซึ่งนางมาร์ธาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและโต้แย้งว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเธอเป็นแม่มด แต่เธอก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดและต้องถูกคุมขังซึ่งจะช่วยให้เธอไม่สามารถทำร้ายเด็กผู้หญิงอีกต่อไปเพราะไม่ได้เห็นหน้าอีก”
การตัดสินลงโทษว่านางมาร์ธาเป็นแม่มดเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลานุภาพของซาตานที่มีผลต่อความกลัวของคนในหมู่บ้าน ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาชาวเมืองจำนวนมากออกมาว่าเคยถูกก่อกวนและเคยเห็นร่างปีศาจจำแลงของบรรดาคนที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน การล่าแม่มดยังดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น พร้อมกับคำสารภาพที่มีมากมายที่พร่ำพรูออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนจากผู้คนมากหน้าหลายตา เหตุการณ์เริ่มบานปลายเพราะบรรยากาศที่เกิดจากการกล่าวหาสร้างความเครียดและทำให้หวาดระแวงไปทั่วหมู่บ้าน ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และถูกประกาศว่าเป็นแม่มดมีเพิ่มทุกขณะ
เดือนมิถุนายนมีการจัดตั้งศาลพิเศษเพื่อพิจารณาคดีแม่มดโดยเฉพาะ เรียกว่า ศาลพิเศษเพื่อรับฟังความและตัดสินโดยพิจารณาความเชื่อถือ ศาลพิเศษแห่งนี้ตัดสินความโดยพิจารณาคดีจากการกล่าวหาซึ่งๆ หน้า มีการประมวลวัตถุพยาน ทั้งที่จับต้องได้และจับไม่ได้ หรือสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เช่น เครื่องหมายแม่มดในตัวผู้กล่าวหา การตอบสนองของคนล้มเจ็บ การเห็นภาพภูตผี ตอบสนองของคนที่ล้มเจ็บอยู่ การประหารแม่มดดำเนินไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วงเกิดการกล่าวหาและมีการสอบสวน ฟ้องร้อง และประณามให้ลงโทษถึงประหารชีวิต โดยการแขวนคอและยังคงมีการลงโทษแขวนคอเรื่อยไปจนกระทั่งเดือนกันยายน เมื่อเริ่มเข้าฤดูหนาว ความหวาดระแวงยิ่งเพิ่มพูนขึ้น มีการวิจารณ์กระบวนพิจารณาคดี ในเดือนตุลาคมนายกเทศมนตรีอาณานิคมเพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินคดีของศาลท้องถิ่น ความเชื่อมั่นและการประณามแม่มดหยุดลง เหยื่อจำนวน 19 รายจากการล่าแม่มดที่ถูกลงโทษแขวนคอ หนึ่งรายถูกลงโทษโดยให้หินทับ และสี่รายเสียชีวิตในขณะที่ถูกคุมขังระหว่างรอดำเนินคดี จึงเป็นที่กล่าวขานกันตลอดมาว่าเป็นผลพวงของความไม่รู้จนเกิดตำนานหรือความเชื่อที่ผิด ๆ ในสังคม ที่นำไปสู่โศกนากรรมครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา และเป็นบทเรียนทางกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายที่การพิสูจน์ความผิดควรต้องมีการพิสูจน์บนพื้นฐานตรรกะและหลักการที่ถูกต้อง ไม่ใช่ตัดสินด้วยความหวาดกลัวและกระแสของสังคมที่กดดันจากความขลาดเขลา
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1692 เมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดกลัวความลี้ลับที่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ส่งผลกระทบต่อหมู่บ้านซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ในมลรัฐแมสซาซูเซตต์ของสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มเมื่อกลุ่มเด็กผู้หญิงได้แสดงอาการแปลกประหลาด บรรดาเด็กหญิงได้ส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนออกมา และสักพักก็ล้มชักดิ้นชักงอ หน้าตาบิดเบี้ยว อยู่ในสภาวะไม่รู้สึกตัว กล่าวถ้อยคำดูหมิ่นพระเจ้าและศาสนา ถ้อยคำบางท่อนก็ฟังดูประหลาดลึกลับ คล้ายกับภาษาโบราณที่ฟังไม่ออก แพทย์ประจำหมู่บ้านได้ตรวจสอบอาการประหลาดดังกล่าวก็ไม่สามรถพบสาเหตุที่มีทำให้เกิดพฤติกรรมดังกล่าว จึงทำให้เกิดความเชื่อว่าหากอาการป่วยดังกล่าวไม่ได้มาจากสาเหตุป่วยทางการแพทย์ ก็เชื่อว่าเป็นผลงานของซาตาน ซึ่งหมายความว่ามีบรรดาแม่มดเข้ามาสิงสู่อยู่กับผู้คนในหมู่บ้านแล้ว
ในเดือนกุมภาพันธ์ คนในหมู่บ้านเริ่มสวดมนต์และถือศีลอดอาหารเพื่อจะขับไล่พลานุภาพความชั่วร้ายของปีศาจ บรรดาเด็กผู้หญิงที่มีอาการประหลาดก็ถูกกดดันให้เปิดเผยว่าใครในหมู่บ้านที่ควบคุมพฤติกรรมอยู่ ปรากฏเด็กผู้หญิงสามคนถูกระบุชื่อและสอบสวน หนึ่งในบรรดาเด็กผู้หญิงชื่อ ธิตูบา ซึ่งเป็นทาสได้สารภาพว่าเห็นปีศาจปรากฏกายให้เห็นในบางครั้งโดยมีรูปร่างเป็นเหมือนหมอกบางครั้งรูปร่างเหมือนสัตว์เดียรฉานและยังสารภาพต่อไปว่าตนเอกงเห็นว่ามีกลุ่มของแม่มดได้ร่วมมือกันและเข้ามาสิงอยู่ในหมู่บ้านแล้ว ต่อมาในเดือนมีนาคม เด็กผู้หญิงที่มีอาการประหลาดได้กล่าวหานางมาร์ธา คอร์เรย์ ซึ่งบรรดาเด็กผู้หญิงถูกประณามจากชุมชนว่าได้ร่วมมือกับปีศาจซึ่งเป็นบุคคลที่เพิ่งย้ายเข้ามาในหมู่บ้านใหม่แต่ก็เป็นศาสนิกชนที่เคร่งครัดบุคคลหนึ่งในหมู่บ้าน ตัวแทนหมู่บ้านได้ทำการสอบสวนนางมาร์ธาเพื่อค้นหาความจริง ในการสอบสวนนั้นนางมาร์ธาได้ตอบโต้แบบแดกดัน ทำให้ตัวแทนของชุมชนเสียขวัญจึงได้จับกุมนางมาร์ธาเพื่อขึ้นศาล ในกระบวนพิจารณาเป็นไปด้วยความยุ่งยากและมีการปลุกปั่น ในระหว่างดำเนินกระบวนการเด็กผู้หญิงมีอาหารชักดิ้นด้วยความเจ็บปวดเนื่องจากถูกบังคับจากพลังอำนาจที่มองไม่เห็นโดยลอกเลียนอัปกิริยาการเคลื่อนไหวของแม่มด กล่าวคือเมื่อนางมาร์ธายกเท้าบรรดาเด็กผู้หญิงก็ขยับทำตาม เมื่อนางมาร์ธากัดริมฝีปากเด็กผู้หญิงก็ทำตามอีก พร้อมส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด โดยกล่าวว่าเธอเห็นอสุรกายเป็นชายตัวดำโน้มตัวเข้ามาหา และได้ยินเสียงกลองลั่นเพื่อเรียกแม่มดให้ประชุมในลานหญ้าหน้าบ้านพิจารณาคดี ทั้งนี้ บาทหลวง Deodat Lawson ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมเยือนมาสังเกตการณ์ได้อธิบายว่า
"ในวันจันทร์ที่ 21 เดือนมีนาคม ผู้พิพากษาท้องถิ่นของหมู่บ้านได้รับการแต่งตั้งเพื่อพิจารณาคดีนี้ ในเวลาเที่ยงวันได้ประชุมกันในบ้านพิจารณาคดีซึ่งมีผู้คนชาวบ้านมามุงดู นาย Noyes เริ่มนำการสวดมนต์อย่างอดทนและน่าสงสาร นางมาร์ธาเริ่มถูกตั้งคำถามหลายคำถามตามที่ถูกกล่าวหา นางมาร์ธากลับขอสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าก่อน แต่ผู้พิพากษาไม่ยินยอม เพราะไม่มีใครต้องการมาฟังการสวดมนต์ของเธอ ทุกคนต้องการคำตอบในข้อกล่าวหา ... มีการสังเกตการณ์หลายครั้งว่าเมื่อนางมาร์ธากัดริมฝีปากล่างในระหว่างเวลาที่สอบสวน เด็กผู้หญิงก็จะกัดแขนและข้อศอกซึ่งทำให้เกิดรอยแผลต่อหน้าผู้พิพากษาและบาทหลวง หากนางมาร์ธาเอนตัวกับที่นั่งในระหว่างการสอบสวน เด็กผู้หญิงก็จะรู้สึกเจ็บปวด
... กลุ่มของเด็กผู้หญิงร้องขอถามว่าทำไมเธอไม่ไปร่วมกลุ่มกับแม่มดคนอื่นในแหล่งชุมนุมของแม่มด เธอได้ยินเสียงกลองเรียกประชุมหรือไม่ พวกเด็กผู้หญิงกล่าวหาว่าเธอคุ้นเคยรู้จักกับบรรดาปีศาจเป็นอย่างดีซึ่งเป็นชายผิวดำที่ชอบมากระซิบข้างหูพวกเธอ พวกเด็กผู้หญิงยังยืนยันต่อไปว่าพวกเธอเห็นว่านกน้อยสีเหลืองดูดระหว่างนิ้วของเธอในการชุมนุมของแม่มดและมีการออกคำสั่งให้เห็นหากมีการให้สัญญาณ เด็กผู้หญิงที่เห็นกล่าวว่าเป็นช่วงเย็นแล้วและนางมาร์ธากำลังย้ายเข็มจากหุ่นไปยังหัว ซึ่งทำให้มีอาการเจ็บปวดทันที ซึ่งนางมาร์ธาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและโต้แย้งว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเธอเป็นแม่มด แต่เธอก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดและต้องถูกคุมขังซึ่งจะช่วยให้เธอไม่สามารถทำร้ายเด็กผู้หญิงอีกต่อไปเพราะไม่ได้เห็นหน้าอีก”
การตัดสินลงโทษว่านางมาร์ธาเป็นแม่มดเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลานุภาพของซาตานที่มีผลต่อความกลัวของคนในหมู่บ้าน ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาชาวเมืองจำนวนมากออกมาว่าเคยถูกก่อกวนและเคยเห็นร่างปีศาจจำแลงของบรรดาคนที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน การล่าแม่มดยังดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น พร้อมกับคำสารภาพที่มีมากมายที่พร่ำพรูออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนจากผู้คนมากหน้าหลายตา เหตุการณ์เริ่มบานปลายเพราะบรรยากาศที่เกิดจากการกล่าวหาสร้างความเครียดและทำให้หวาดระแวงไปทั่วหมู่บ้าน ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และถูกประกาศว่าเป็นแม่มดมีเพิ่มทุกขณะ
เดือนมิถุนายนมีการจัดตั้งศาลพิเศษเพื่อพิจารณาคดีแม่มดโดยเฉพาะ เรียกว่า ศาลพิเศษเพื่อรับฟังความและตัดสินโดยพิจารณาความเชื่อถือ ศาลพิเศษแห่งนี้ตัดสินความโดยพิจารณาคดีจากการกล่าวหาซึ่งๆ หน้า มีการประมวลวัตถุพยาน ทั้งที่จับต้องได้และจับไม่ได้ หรือสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เช่น เครื่องหมายแม่มดในตัวผู้กล่าวหา การตอบสนองของคนล้มเจ็บ การเห็นภาพภูตผี ตอบสนองของคนที่ล้มเจ็บอยู่ การประหารแม่มดดำเนินไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วงเกิดการกล่าวหาและมีการสอบสวน ฟ้องร้อง และประณามให้ลงโทษถึงประหารชีวิต โดยการแขวนคอและยังคงมีการลงโทษแขวนคอเรื่อยไปจนกระทั่งเดือนกันยายน เมื่อเริ่มเข้าฤดูหนาว ความหวาดระแวงยิ่งเพิ่มพูนขึ้น มีการวิจารณ์กระบวนพิจารณาคดี ในเดือนตุลาคมนายกเทศมนตรีอาณานิคมเพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินคดีของศาลท้องถิ่น ความเชื่อมั่นและการประณามแม่มดหยุดลง เหยื่อจำนวน 19 รายจากการล่าแม่มดที่ถูกลงโทษแขวนคอ หนึ่งรายถูกลงโทษโดยให้หินทับ และสี่รายเสียชีวิตในขณะที่ถูกคุมขังระหว่างรอดำเนินคดี จึงเป็นที่กล่าวขานกันตลอดมาว่าเป็นผลพวงของความไม่รู้จนเกิดตำนานหรือความเชื่อที่ผิด ๆ ในสังคม ที่นำไปสู่โศกนากรรมครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา และเป็นบทเรียนทางกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายที่การพิสูจน์ความผิดควรต้องมีการพิสูจน์บนพื้นฐานตรรกะและหลักการที่ถูกต้อง ไม่ใช่ตัดสินด้วยความหวาดกลัวและกระแสของสังคมที่กดดันจากความขลาดเขลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น