วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หลักกฎหมายปิดปากในกฎหมายปกครองของสหรัฐอเมริกา

ในระบบกฎหมายปกครองของสหรัฐอเมริกาได้วางหลักว่าหลักกฎหมายปิดปากไม่สามารถนำมาใช้บังคับได้ในกฎหายปกครอง กล่าวคือ รัฐบาลอาจไม่ถูกกฎหมายปิดปากให้ต้องรับผิด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ประชาชนที่เชื่อมั่นในคำปรึกษาแนะนำของเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องรับความเสี่ยงเอง ศาลฎีกาของสหพันธรัฐอเมริกา (US Spreme Court) ตัดสินในคดี Federal Crop Insurance Corp. v. Merrill ว่า นาย Merrill ซึ่งเป็นชาวไร่ข้าวโพดในมลรัฐไอโอวาได้ยื่นประกันภัยพืชผลทางการเกษตรตามกฎหมายประกันพืชผลทางการเกษตร ซึ่งภายใต้การดำเนินการของบรรษัทประกันภัยพืชผลการเกษตรสหพันธรัฐ (FCIC) ที่มีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการตามโครงการ ในกรณีนี้นาย Merrill และเกษตรกรอื่น ๆ ได้ยื่นคำขอประกันภัยพืชผลการเกษตรของตนกับตัวแทนในท้องถิ่นของบรรษัทฯ  ซึ่งบรรษัทฯ ได้ยอมรับคำขอประกันภัยของนาย Merrill โดยไม่ได้มีข้อทักท้วงใด ๆ จากตัวแทนของบรรษัทฯ ซึ่งในทางกฎหมายปรากฏว่าบรรษัทฯ มีกฎที่ห้ามมิให้มีการประกันพืชผลการเกษตรที่นำเมล็ดมาปลูกซ้ำ ดังกล่าวจะประกาศในหนังสือกิจจานุเบกษาอย่างชัดเจน ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้นาย Merrill คิดว่าพืชผลเกษตรของตนได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ต่อมาเมื่อพืชผลเกษตรของนาย Merrill ได้รับความเสียหายจากภัยแล้ง และเมื่อนาย Merrill ร้องขอรับสิทธิตามกรมธรรม์ ทางบรรษัทฯ ปฏิเสธการจ่ายค่าชดเชยความเสียหายดังกล่าวโดยอ้างข้อยกเว้นดังกล่าว นาย Merrill จึงได้ฟ้องว่า บรรษัทประกันภัยพืชผลการเกษตรสหพันธรัฐได้ยอมรับคำขอประกันภัยของตนเองแล้ว โยมิได้มีการแจ้งเหตุข้อยกเว้นดังกล่าว และสัญญาประกันภัยย่อมมีผลผูกพัน โดยกล่าวอ้างทฤษฎีหลักกฎหมายปิดปากในการไม่เปิดเผยต่อผู้เอาประกัน
ศาลฎีกาเริ่มต้นให้ความเห็นว่า หากคู่กรณีเป็นบริษัทเอกชนอาจถูกหลักกฎหมายปิดปาก แต่สำหรับกรณีนี้ ศาลฎีกาปฏิเสธจะบังคับใช้หลักกฎหมายปิดปากต่อหน่วยงานของรัฐ เพราะนโยบายสาธารณะกำหนดว่าหลักกฎหมายที่แตกต่างใช้บังคับกับหน่วยงานของรัฐ ประการแรกศาลให้เหตุผลว่าไม่ว่านาย Merrill จะรู้หรือทราบเงื่อนไขหลักเกณฑ์ของกฎของบรรษัทประกันภัยพืชผลการเกษตรสหพันธรัฐหรือไม่ก็ตาม เมื่อกฎดังกล่าวได้ประกาศเผยแพร่ในหนังสือกิจจานุเบกษาแล้ว การประกาศเผยแพร่กฎดังกล่าวจึงเป็นการประกาศแจ้งให้ทุกคนทราบไม่ว่าจะอยู่ที่ใด (หรือหลักทุกคนต้องรู้กฎหมาย) ประการที่สองการอนุญาตให้ใช้หลักกฎหมายปิดปากกับหน่วยงานของรัฐอาจขัดขวางประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐบาล รัฐบาลมีการดำเนินงานที่ครอบคลุมกว้างขวางมีพนักงานเจ้าหน้าที่จำนวนมากซึ่งไม่สามารถรู้ว่าตัวแทนได้ดำเนินการอะไรไปบ้างทั้งหมดในนามของรัฐบาล แหล่งข้อมูลที่ชอบด้วยกฎหมายสำหรับกฎของหน่วยงานรัฐคือตัวกฎเอง การอ้างอิงเจตนาบริสุทธิ์ของคำแนะนำที่ผิดพลาดหรือการอ่านกฎที่ผิดพลาดมิเกี่ยวข้อง
ปัจจุบันนี้หลักของคดี Merrill ยังคงมีผลอยู่ตามหลักกฎหมายคอมมอนลอว์ เพราะในคดีต่อมาคือคดี Schweiker v. Hansen ซึ่งเป็นกรณีที่นาย Schweiker ได้ยื่นคำขอรับผลประโยชน์จากการประกันชีวิตของมารดา แต่ก็ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของรัฐว่ามารดาของนาย schweiker ไม่มีสิทธิดังกล่าว จึงมิได้ยื่นคำขอรับดังกล่าวแต่ประการใด หลายเดือนต่อมานาย schweiker พบว่าตนเองมีสิทธิดังกล่าว จึงขอรับสิทธิย้อนหลังไปยังครั้งแรกที่ได้ไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ แต่กฎหมายกำหนดห้ามการจ่ายผลประโยชน์ หากผู้มีสิทธิมิได้ยื่นคำขอ จึงเป็นการยืนตามหลักการตามคดี Merrill
ต่อมาในคดี Office of Personnel Management v. Richmond ซึ่งเป็นกรณีที่ลูกจ้างพลเรือนที่เกษียณของกองทัพเรือมีคุณสมบัติในการได้รับค่าชดเชยคนพิการจากรัฐบาล รัฐสภาได้ผ่านกฎหมายในปี ค.ศ. 1982 ว่าหากยุติการจ่ายเงินชดเชยคนพิการกับผู้เกษียณอายุราชการที่ได้รับเงินค่าจ้างเท่าเทียมกับในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของอัตราเงินเดือนราชการก่อนเกษียณ กฎหมายก่อนปี ค.ศ. 1982 ยุ่งยากมาก การยุติจ่ายเงินชดเชยคนพิการต้องไม่เริ่มนับจนกระทั่งผู้เกษียณอายุครบตามเกณฑ์ร้อยละ 80 ภายในสองปีติดต่อกัน ในปี ค.ศ. 1986 สี่ปีหลังจากเปลี่ยนแปลงกฎหมาย นาย Richmond ต้องการทำงานล่วงเวลาในงานปัจจุบัน จึงได้สอบถามหน่วยงาน ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำที่ผิดพลาดจากเจ้าหน้าที่ที่ใช้เกณฑ์ตามกฎหมายก่อนปี ค.ศ. 1982 จึงได้ทำงานล่วงเวลา จึงทำให้ผลประโยชน์ดังกล่าวถูกระงับ ดังนั้น จึงได้ฟ้องร้องต่อศาล ผู้พิพากษา Kennedy ยืนยันหลักตามคดี Merrill โดยอธิบายเพิ่มเติมว่าหากรัฐบาลถูกกฎหมายปิดปากจะเท่ากับเปิดประตูให้มีการอ้างหลักกฎหมายปิดปาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดการฟ้องร้องที่ไม่รู้จักจบสิ้นทั้งที่มีข้อเท็จจริงหรือมีการจินตนาการขึ้นเองของประชาชน และหากมีการบังคับใช้หลักกฎหมายปิดปากในกฎหมายปกครองเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจจะไม่ค่อยอยากจะให้ข้อมูลหรือคำแนะนำแก่ประชาชน เพราะเกรงว่าจะต้องรับผิดชอบ รวมทั้งหน่วยงานรัฐอาจกำหนดมาตรการควบคุมที่เข้มงวดในการให้ข้อมูลเพื่อจำกัดความรับผิด และโครงการที่ให้ข้อมูลที่ดีของรัฐบาลอาจลดลง ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างมากต่อประชาชนที่ไม่สามารถจ้างที่ปรึกษาเอกชนเพื่อขอรับบริการจากหน่วยงานรัฐได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น