วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สำนักกฎหมายบ้านเมือง หรือปฏิธานนิยม (Positive law)

สำนักกฎหมายบ้านเมือง หรือปฏิธานนิยม (Positive law) หรือในภาษาลาตินเรียกว่า ius positum ซึ่งถือว่าเป็นสำนักคิดทางกฎหมายที่สำคัญของโลกและทรงอิทธิพลมากสำนักหนึ่งในวงการนิติปรัชญามาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ แนวคิดของสำนักนี้มีรากฐานมาจากนักนิติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน เช่น จอห์น ออสติน (John Austin) เจอรีมี เบ็นทรัม (Jeremy Bentham) ในช่วงยุคศตวรรษที่ 18 และ 19 ตามลำดับ ต่อมาได้รับการพัฒนาแพร่หลายโดยเฮอร์เบริท ฮาร์ท (Herbert Hart) และโจเซฟ เรซ (Joseph Raz) ที่สร้างกรอบความคิดให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม ซึ่งเป้าหมายของการวิเคราะห์กฎหมายตามแนวคิดนี้คือเพื่อช่วยให้เข้าใจว่ากฎหมายของประเทศคือสิ่งที่เป็นอยู่และไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็น (Law of the land as it is and not as it ought to be) ดังนั้น สำนักคิดนี้จึงมุ่งเน้นการระบุกฎหมายในฐานะที่เป้นสิ่งที่ถูกกำหนดโดยผู้หรือองค์กรที่มีอำนาจ และไม่ใช่วิธีการที่ควรสร้างกฎหมายขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สำนักกฎหมายบ้านเมืองเป็นปรัชญาของสำนักความคิดทางกฎหมายที่เน้นในการอธิบายกฎหมายที่เป็นรูปธรรม
เมื่อกล่าวถึง “กฎหมาย” นักกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองจะอธิบายว่า ผู้ให้กำเนิดกฎหมายคือ “รัฏฐาธิปัตย์” (Sovereign) คือมนุษย์ ดังที่ จอห์น ออสติน ได้อธิบายว่า “กฎหมาย คือคำสั่งคำบัญชาของรัฏฐาธิปัตย์” จึงทำให้คำสั่งของบุคคลใด หรือองค์กรใดที่ไม่ใช่รัฏฐาธิปัตย์ จึงไม่อยู่ในความหมายของกฎหมาย

สำนักความคิดทางกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองอธิบายว่า รัฏฐาธิปัตย์ คือผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน และกฎหมายจึงเกิดจากมนุษย์เป็นผู้สร้างและขึ้นอยู่กับระบอบการปกครอง แนวความคิดดังกล่าวจึงแตกต่างจากแนวความคิดของกฎหมายธรรมชาติ (natural law) 

จอห์น ออสตินให้คำจำกัดความกฎหมายบ้านเมืองว่าเป็นคำสั่งของผู้มีอำนาจอธิปไตยทางการเมืองซึ่งจะมีการลงโทษกับบุคคลที่ไม่เชื่อฟังคำสั่ง  ดังนั้น กฎหมาย จึงประกอบด้วยองค์ประกอบสามประการ คือ
1. อธิปไตยทางการเมือง (Political sovereign)
2. คำสั่งของผู้มีอำนาจ (Command)
3. การบังคับใช้หรือบทลงโทษ (Sanction)
ออสตินเห็นว่าสังคมใดที่ไม่มีอำนาจอธิปไตยจะไม่มีกฎหมายในแง่นี้ อำนาจอธิปไตยถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของสังคมที่แสดความเป็นอิสระทางการเมือง ส่วนองค์ประกอบของคำสั่งนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่สร้างหน้าที่ด้วยการมีการบังคับใช้เพื่อให้มีการปฏิบัติตาม คำสั่งของผู้มีอำนาจจึงไม่สามารถแยกออกจากหน้าที่และการบังคับใช้ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งเมื่อมีการกำหนดหน้าที่แสดงว่ามีคำสั่งเกิดขึ้น หน้าที่เกิดจากการมีอยู่ของการบังคับใช้ให้ปฏิบัติหรือการลงโทษกรณีไม่มีการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว นอกจากนี้ ออสตินไ้ด้วางหลักการเพิ่มเติมว่า กรณีที่เป้นกฎหมมายที่มีความจำเป็นหรือสำคัญควรต้องมีการประกาศแจ้งให้ทราบ แต่การประกาศกฎหมายดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นกฎหมายใหม่ แต่เป็นการทำให้ชัดเจนหรือตีความกฎหมายเท่านั้น และผู้มีอำนาจอาจยกเลิกหรือปรับปรุงแก้ไขกฎหมายฉบับเดิมได้ สำหรับกรณีที่กฎหมายที่ไม่ได้ระบุบทลงโทษโทษไว้ก็ยังคงเป็นกฎหมาย เพียงแต่เป็นกรณีขาดตกบกพร่อง

ตามแนวคิดสำนักคิดกฎหมายบ้านเมืองมองว่ากฎหมายและหลักศีลธรรมแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด กฎหมายไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลักศีลธรรม แต่ยังยอมรับว่ากฎหมายมักจะสะท้อนหลักศีลธรรมของมนุษย์ในสังคมนั้น ฮาร์ทเชื่อว่าหลักศีลธรรมปรากฎในจักรวาล แต่ไม่ได้ถูกถือว่าเป็นกฎหมายที่ผูกพันบังคับเช่นกฎหมาย ไม่จำเป็นเสมอไปที่กฎหมายจะตอบสนองหลักศีลธรรม แม้ว่าบ่อยครั้งจะสอดคล้องกัน   

สำนักกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองเห็นว่าทุกคนต้องนับถือกฎหมายเพราะกฎหมายเกิดจากผู้มีอำนาจและกฎหมายเป็นเครื่องกำหนดระเบียบวินัยของสังคม ดังนั้น ตามแนวความคิดนี้ กฎหมายไม่อาจวางระเบียบหรือกฎเกณฑ์ตายตัวได้ หากแต่มอบอำนาจในการใช้ดุลยพินิจให้แก่ผู้ใช้กฎหมายในอันที่จะเลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งภายในขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ เพื่อความยืดหยุ่นและยุติธรรม การใช้ดุลยพินิจของนักกฎหมายย่อมเคียงคู่กับการตีความกฎหมายในทุกระดับ การใช้ดุลยพินิจไปในทางหนึ่งทางใดแม้จะไม่พึงปรารถนาแก่ผู้เกี่ยวข้องก็มิอาจกล่าวหาได้ว่าผู้นั้นปฏิบัติผิดกฎหมายหรือประพฤติมิชอบ เมื่อใดที่กฎหมายเปิดโอกาสให้ใช้ดุลยพินิจ นักกฎหมายควรใช้ดุลยพินิจไปในทางที่สอดคล้องกับ “มโนธรรม ศีลธรรม และความต้องการของสังคม"

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าแนวคิดกฎหมายบ้านเมืองแตกต่างจากกฎหมายธรรมชาติที่ประกอบด้วยสิทธิที่ดั้งเดิมที่ไม่ได้มาจากกฎหมายที่มนุษย์กำหนดแต่มาจากพระเจ้า ธรรมชาติหรือเหตุผล กฎหมายบ้านเมืองจึงได้รับการอธิบายว่าใช้บังคับในบางช่วงเวลา ในบางสถานที่ ซึ่งกฎหมายบ้านเมืองจะประกอบด้วยกฎหมายที่เป้นลายลักษณ์อักษร เช่น พระราชบัญญัติ หรืออาจเป็นคำพิพากษา กฎหมายบ้านเมืองจึงมักถูกกำหนดลักษณะเป็นกฎหมายที่มีความเฉพาะเจาะจงในการยกร่างหรือบัญญัติขึ้นหรือยอมรับโดยผู้ที่มีอำนาจ เช่น รัฐบาลหรือรัฐสภา


นอกจากนี้ โทมัส แมคเค็นซี่ (Thomas Mackenzie) ได้แบ่งประเภทกฎหมายเป็นสี่ประเภท คือกฎหมายบ้านเมืองศักดิ์สิทธิ์ (divide positive law) กฎหมายธรรมชาติศักดิ์สิทธิ์ (divide natural law) กฎหมายบ้านเมืองของประเทศอิสระ (positive law of independent states) และกฎหมายระหว่างประเทศ (law of nations) กฎหมายบ้านเมืองศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของศาสนาและมาจากพระคัมภีร์วิวรณ์ ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายธรรมชาติศักดิ์สิทธิ์ที่อิงหลักเหตุผลโดยไม่อิงพระคัมภีร์วิวรณ์ ประเภทที่สามกฎหมายบ้านเมืองของประเทศอิสระเป็นกฎหมายที่บัญญัติโดยอำนาจสูงสุดในรัฐนั้น ซึ่งแนวคิดนี้แตกต่างจากโทมัส อาควินัส (Thomas Aquinas) ที่ไม่แบ่งแยกความแตกต่างระหว่างกฎหมายบ้านเมืองศักดิ์สิทธิ์และกฎหมายบ้านเมืองที่มนุษย์สร้างขึ้น เพราะไม่ได้มีเงื่อนไขว่าเป็นบุคคลใดที่บัญญัติกฎหมายไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือพระเจ้า แต่นักวิชาการอื่นเห็นแตกต่าง เช่น โทมัส ฮอบส์ และจอห์น ออสตินที่เชื่อในหลักอำนาจอธิปไตยสูงสุด (ulitimate soveriegn) ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวและไม่สามารถแบ่งแยกได้ อำนาจอธิปไตยชั่วคราวไม่มีจริงจึงปฏิเสธกฎหมายบ้านเมืองศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังยอมรับหลักกฎหมายธรรมชาติ โดยยอมรับว่ากฎหมายบ้านเมืองต้องอยู่ภายใต้กฎหมายธรรมชาติ ผู้มีอำนาจที่มีอำนาจอธิปไตยมีความรับผิดชอบในการแปลความหมายของกฎหมายธรรมชาติเป็นกฎหมายบ้านเมืองมนุษย์

1 ความคิดเห็น:

  1. ดิฉันเป็นนักศึกษากฎหมาย ได้มีโอกาสเข้ามาอ่านบทความนี้ รู้สึกประทับใจสำนวนในการเขียนที่ใช้ภาษาไม่ซับซ้อนจนเกินไปมากๆเลยค่ะ ขอชื่มชมค่ะ

    ตอบลบ