วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การประกาศสงครามของสหรัฐอเมริกา

รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาในมาตรา 1 ข้อ 8 ระบุว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญให้อำนาจรัฐสภา (Congress) ประกาศสงคราม (to declare War) ที่ผ่านมาในอดัตจนกระทั่งปัจจุบัน รัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้เคยมีการประกาศสงครามมาแล้ว 11 ครั้งใน 5 สงครามที่แตกต่างกัน ล่าสุดคือในสงครามโลกครั้งที่สอง และรัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้อนุญาตให้มีการใช้กำกลังทหารหลายครั้ง ซึ่งล่าสุดคือในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2002 รัฐสภาได้มีมติร่วมของทั้งสองสภาอนุญาตให้กองกำลังทหารในอิรัก เพื่อสนับสนุนให้ประเทศสมีความสามารถในการใช้กำลังทหารในสงครามหรือการขัดกันทางอาวุธ รัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายจำนวนหนึ่งที่ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีหรือฝ่ายบริหารและจะได้รับอนุญาตโดยการออกกฎหมายเพื่อประกาศสงคราม การเกิดขึ้นของสถานะสงครามที่มีอยู่ หรือการประกาศสถานะการณ์ฉุกเฉิน 

การประกาศสงครามอย่างเป็นทางการในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่รัฐบาลของประะานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันจนกระทั่งปัจจุบันมีจำนวน 11 ครั้งโดยเป้นการประกาศสงครามต่อรัฐบาลต่างชาติที่ประกาศผ่านรัฐสภาและประธานาธิบดีมีจำนวน 5 สงคราม คือ สงครามในปี ค.ศ. 1812 กับรัฐบาลสหราชอาณาจักร สงครามกับเม็กซิโกในปี ค.ศ. 1846 สงครามกับสเปนในปี ค.ศ. 1898 สงครามโกลครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ในแต่ละสงคราม ประธานาธิบดีได้ร้องขอต่อรัฐสภาให้ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการโดยเป็นหนังสือหรือนำเสนอด้วยวาจาต่อการประชุมร่วมสองสภา ในเนื้อหาที่ประกาศสงครามประธานาธิบดีมักอ้างว่ามีเหตุผลที่น่าเชื่อถือในการทำสงคราม เช่น เกิดการโจมตด้วยอาวุธในอาณาเขตของสหรัฐอเมริกาหรือต่อประชาชน และการโจมตีดังกล่าวมีผลหรือเป็นภัยคุกคามต่อสิทธิหรือผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาในฐานะประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง ในศตวรรษที่ 19 การประกาศสงครามทั้งหมดอยู่ในรูปของร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบโดยรัฐสภา ในศตวรรษที่ 20 การประกาศสงครามทั้งหมดอยู่ใรูปของมติร่วมของสองสภา ในการพิจารณาของรัฐสภาจะใช้เสียงส่วนใหญ่ทั้งในชั้นสภาผู้แทนราษฎร์และวุฒิสภาและลงนามเป็นกฎหมายโดยประธานาธิบดี การประกาศสงครามครั้งล่าสุดได้ออกเป็นกฎหมายในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1942 โดยเป็นการประกาศสงครามต่อโรมาเนียในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ในสมัยประธานาธิบดีแม๊คคินลีย์ได้นำเสนอร่างประกาศสงครามต่อสเปนในปี ค.ศ. 1989 ต่อรัฐสภาและได้รับความเห็นชอบในวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1989 หลังจากที่สเปนได้ปฏิเสธข้อเสนอของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ให้สเปนสละอำนาจอธิปไตยเหนือคิวบาและอนุญาตให้คิวบาเป็นรัฐอิสระ ข้อเสนอดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองสภาและเป็นกฎหมายในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1898 โดยเนื้อหากฎหมายได้ประกาศรับรองให้คิวบากลายเป็นรัฐที่มีเอกราชและเรียกร้องให้สเปนถอนกำลังทหารจากเกาะคิวบาโโยให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสามารถใช้กำลังทหารจากมลรัฐต่างๆ เเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามกฎหมายได้  สงครามกับสเปนเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1898 ไม่ได้มรการโจมตีประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เป็นความพยายามของสหรัฐอเมริกาที่จะระงับการต่อต้านของชาวคิวบาต่อสเปน สนับสนุให้คิวบาเป็นรัฐเอกราช และสร้างรัฐบาลที่เข้มแข็งมีเสถียรภาพและความสงบสุขในประเทศกลับคืน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่สหรัฐอเมริกาต้องการ

ส่วนศตวรรษที่ 20 ประธานาธิบดีวิลสันพยายามรักษาความเป้นกลางในช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งประธานาธิบดีวิสันเห็นว่าการตัดสินใจของเยอร์มันนีในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 ที่จำกัดเรือดำน้ำของทุกชาติในเขตสงคราม รวมทั้งเรือของประเทศที่เป็นกลาง จึงถือว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เพราะมีผลต่อสิทธิอธิปไตยของสหรัฐอเมริกาที่เดิมได้รับการยอมรับจากเยอร์มันนี ดันั้น ประะานาธิบดีวิลสันจึงได้เสนอรัฐสภาให้ประกาศสงครามต่อเยอร์มันนีในวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1971 โดยอ้างว่าสงครามดังกล่าวผลักดันให้รัฐสหอมริกาเข้าสู่สงครามด้วย ซึ่งรัฐสภาก็ได้ผ่านความเห็นชอบและประธานาธิบดีลงนามในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1917  แต่ชะลอการประกาศสงครามกับออสเตรียและฮังการีไปจนกระทั่งเดือนธันวาคมจึงประกาศสงครามกับทั้งสองประเทศเพิ่มเติม เนื่องจากเยอร์มันนี้เป็นพันธมิตรในสงครามและกลายเป็นเครื่องมือต่อต้านสหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐสภาสหรัฐฯได้ผ่านความเห็นชอยโดยทันที

ประธานาธิบดีรูสเวลท์ เรียกร้องให้มีการประกาศสงครามต่อญี่ปุุ่นในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เนื่องจากสหรัฐอเมริกาการโจมตีทางทหารโดยตรงโดยญี่ปุ่น ทหารและประชาชนขาวอเมริกาในฮาวายและเกาะบริเวณแปซิฟิก  สภาผู้แทนราษฎร์และรัฐสภาได้ผ่านความเห็นชอบต่อข้อเสนอประกาศสงครามดังกล่าวและประธานาธิบดีรูสเวลท์ได้ลงนามประกาศใช้เป็นกฎหมายในวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1941 และได้ประกาศสงครามดับเยอร์มันนีด้วยโดยแยกเป็นมติต่างหาก ซึ่งถือว่าเป็นสภาวะสงครามเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับสองประเทศ

ต่อมาในวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1942 ประธานาธิบดีรูสเวลท์ได้ประกาศสงครามกับบัลแกเรีย ฮังการี และโรมาเนียที่ถูกครอบงำโดยเยอร์ใันนี้เนื่องจากประเทศดังกล่าวได้มีกิจกรรมสงครามกับสหรัฐอเมริกาและประเทศดังกล่าวก็ได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา รัฐสภาได้มีมติเห็นชอบประกาศสงครมกับทั้งสามประเทศ แต่มติแยกจากกัน ซึ่งประธานาธิบดีได้ลงนามเป็นกฎหมายในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1942 ในช่วงศตวรรษที่ 20 รัฐสภาสหรัฐอเมริกาก็ได้ผ่านความเห็นชอบให้ประกาศสงครามในลักษณะคล้ายกันอีก 8 ประเทศ โดยให้ประธานาธิบดีมีอำนาจสั่งการกองทัพทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาและทรัพยากรของรัฐบาลในการดำเนินการทางทหารต่อรัฐบาลเป้าหมายและทำให้ความขัดแย้งยุติลงได้สำเร็จ

วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ผลกระทบของโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงของชาติ

ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของชาติมักให้ความสำคัญกับการป้องกันประเทศด้านการทหาร อาวุธนิวเครียส์ และภับคุกคามจากไซเบอร์ ซึ่งประเด็นเหล่านี้มีความสำคัญกับการกำหนดขอบเขตและระบุถึงความมั่นคงของชาติ แต่รัฐในฐานะประเทศชาติควรพิจารณาทบทวนรวบรวมความกังวลภัยคุกคามภายในประเทศ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การควบคุมสภาพอากาศ และความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ เป็นต้น โครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ไม่เชื่อมโยงเป็นระบบและผุพังอาจเป็นความกังวลที่ต้องกลับมาพิจารณาทบทวน

การเปิดเผยและกำหนดขอบเขตนิยามของโครงสร้างพื้นฐานมีความสำค้ญต่ออนาคตของประเทศในการเข้าใจความคาดหวังและข้อจำกัด ที่ผ่านมา การเกิดสงครามกลางเมืองเป็นข้อโต้แย้งที่ว่าความมั่นคงของชาติควรตีความแบบกว้างหรือแบบแคบ ตามแนวทางดั้งเดิม คำว่า "ความมั่นคงของชาติ" ประเทศส่วนใหญ่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับภัยคุกคามจากภายนอกประเทศหรือภัยคุกคามด้านการทหาร แต่การตีความเริ่มเปลี่ยนแปลงโดยมีการเริ่มขยายความหรือขยายขอบเขตนิยามของความมั่นคงของชาติให้กว้างขึ้นหลังการเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001ซึ่งถือได้ว่าเป็นภัยคุกคามประเทสภายใหม่ที่มีผลต่อความมั่นคงของชาติที่ชาวอเมริกาต้องเผชิญ

ปัจจุบันนี้ ความมั่นคงของชาติได้รับการนิยามอย่างหลวมๆ และมีความหลากหลายของประเภทความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นของประเทศนั้น ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2010 ประธานาธิบดีโอบามาได้ประกาศยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Strategy หรือ NSS) ในศตวรรษที่ 21 โดยนิยามความมั่นคงของชาติหมายความรวมถึง ความมั่นคงทางการทหาร ความมั่นคงทางพลังงาน ความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อม และชีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ นิยามที่ขยายดังกล่าวของความมั่นคงของชาติเสริมรับกับความพยายามของสหรับอเมริกาในการรวบรวมความมั่นคงมาตุภูมิกับความมั่นคงของชาติเข้าด้วยกัน โดยให้มีการสอดประสานอย่างไร้รอยต่อระหว่างหน่วยงานรัฐบาลกลาง มลรัฐและท้องถิ่นในการป้องกัน ปกป้อง และตอบสนองต่อภัยคุกคามและภัยพิบัติตามธรรมชาติ การรวมดังกล่าวปรากฎในคำสั่งฝ่ายบริหารว่าด้วยการเตรียมความพร้อมทรัพยากรด้านการป้องกันประเทศ

ในวันที่ 16 มีนาคม 2012 ประธานาธิบดีโอบามาได้ประกาศคำสั่งฝ่ายบริหารว่าด้วยการเตรียมความพร้อมทรัพยากรด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งระบุว่าสหรัฐอเมริกาต้องมีขีดความสามารถพื้นฐานหลักด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านการป้องกันประเทศและสามารถในการเสริมสร้างความเหนือชั้นทางด้านเทคโนโลยีของอุปกรณ์การป้องกันประเทศในช่วงสันติสุขและในช่วงภาวะฉุกเฉินได้ นิยามของการป้องกันประเทศระบุในข้อ 801(j) ว่า การป้องกันประเทศหมายถึงโครงการสำหรับการผลิตหรือสร้างทางการทหารและพลังงาน โครงสร้างพื้นฐานทางทหารและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญยิ่งยวด (critical infrasrtucture) ที่สนับสนุนต่อประเทศอื่น ความมั่นคงปลอดภัยภายในประเทศ การเก็บรักษาอาวุธและทรัพยากร กิจกรรมอวกาศและอื่นๆที่เกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งตามนิยามดังกล่าว สหรัฐอเมริกาต้องมีขีดความสามารถในการจัดให้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญดังกล่าว ตัวอย่างเช่น ระบบการเงินที่ให้บริการตลอดเวลาเพื่อเชื่อมโยงสื่อกลางทั่วโลก โรงงานพลังงานและโครงข่ายพลังงาน ท่อส่งก๊าซและน้ำมัน ระบบบำบัดน้ำเสีย โรงกลั่นน้ำมันและเคมี ระบบขนส่ง และการสื่อสารทางการทหาร

โครงสร้างพื้นฐานสามารถแบ่งออกได้สองประเภทคือทางกายภาพและทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นระบบที่มีความสำคัญต่อการดำเนินการขั้นต่ำของเศรษฐกิจและรัฐบาล เช่นกรณีของพายุเฮอร์ริเคนคาตีน่าได้ก่อให้เกิดการพังทลายอย่างมากมายและสูญเสียชีวิตเป็นตัวอย่างที่ดีของการสูญเสียอขงระบบโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและความจำเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ฟื้นตัวได้ดี นอกจากนี้ เนื่องจากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล ภัยคุกคามทางไซเบอร์หรือการโจมตีทางออนไลน์ต่อโครงสร้างพื้นฐานกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะการดำเนินการโดยผู้ก่อการร้าย เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการเชื่อมโยงของโครงข่ายโทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์ กิจกรรมทางเศรษฐกิจสมัยใหม่ปัจจุบันผ่านหรืออิงระบบไซเบอร์ซึ่งมีความอ่อนแอหรือจุดอ่อนมากกว่าโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา แฮ็กเกอร์ต่างชาติได้ขโมยโค้ดและแผนผังของโครงข่ายท่อส่งน้ำมันและประปา รวมทั้งโครงข่ายส่งไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกาและเจาะเข้าระบบโครงข่ายกระทรวงพลังงานมากกว่า 150 ครั้ง 
การให้นิยามการป้องกันประเทศตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีว่าด้วยการเตรียมความพร้อมการป้องกันประเทศ โครงสร้างพื้นฐานสำคัญเป็นเงื่อนไขสำคัญในการกำหนดมาตรการป้องกัน ดังนั้น การสร้างหรือซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐานที่มีความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้นและเชื่อมถือได้ในการต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากต่างชาติและภัยพิบัติตามธรรมชาติควรเพิ่มลำดับความสำคัญขึ้น และการส่งเสริมการเติบโตของประเทศ มุมมองในแง่ความก้าวหน้าของความมั่นคงของชาติควรสอดคล้องกับการให้ความสำคัญและเสริมสร้างรากฐานในทุกแง่มุมไม่ใช่เฉพาะโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ควรครอบคลุมถึงสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน การควบคุมสภาพภูมิอากาศ การศึกษา และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 
ดังนั้น โครงสร้างพื้นฐานเป็นแหล่งหนึ่งที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งของประเทศที่อยู่่ภายในประเทศ ด้วยการมีมาตรการเชิงป้องกันและการประกันว่าโครงสร้างพื้นฐานมีความน่าเชื่อถือได้ในการให้บริการในกรณีมีภัยคุกคามจากผู้ก่อการร้ายและภัยพิบัติจากธรรมชาติ 

โดรนและกฎหมายว่าด้วยสงคราม

แม้ว่าปัจจุบันนี้ กฎหมานยสงครามจะสามารถครอบคลุมเรื่องของโดรน แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วอาจล้ำหน้ากฎหมายในไม่ช้า เทคโนโลยีอากาศยานทางทหารไร้คนขับ (Unmanned Aerial Systems หรือ UAS) ซึ่งนิยมเรียกว่า โดรน ถูกกำกับดูแลภายใต้กฎหมายเดียวกันทหารที่มีอาวุธปืน กล่าวคือกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศและหลักกฎหมายว่าด้วยการขัดกันทางอาวุธ (Law of armed conflict principles) ที่ใช้บังคับกับทหารสามารถใช้บังคับกับโดรนเช่นเดียวกัน กฎบัตรสหประชาชาติมาตรา 51 รักษาสิทธิของรัฐในการป้องกันตนเอง (self-defense) ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกโจมตีด้วยอาวุธ สหรัฐอเมริกาและรัฐอื่นเห็นด้วยว่าสิทธิป้องกันตนเองขยายไปถึงกรณีการป้องกันตนเองจากการคาดการณ์ด้วย (Anticipatory self-defense)  องค์ประกอบของการป้องกันตนเองภายใต้กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศในบริบทของสงครามต่อการก่อการร้ายได้ทำให้มีการขยายขอบเขตดังกล่าวออกไป สำหรับกรณีของโดรนเน้นให้เห็นว่าเป้นการโจมตีทางยุทธการทหารที่ไม่สามารถดำเนินการได้โดยกองกำลังพิเศษแบบดั้งเดิม

หลักกฎหมายว่าด้วยการขัดกันทางอาวุธบรรจุอยู่ในอนุสัญญากรุงเฮกและเจนีวา รวมทั้งโปรโตคอลเพิ่มเติมที่เรียกว่ากฎหมายทนุษยธรรมระหว่างประเทศ หลักกฎหมายว่าด้วยการขัดกันทางอาวุธกำหนดว่าการใช้กองกำลังติดอาวุธที่เกี่ยวพันกับการขัดกันทางอาวุธระหว่างประเทศ (International Armed Conflict หรือ IAC) หรือ การขัดกันทางอาวุธที่ไม่ใช่ระหว่างประเทศ (Non-International Armed Conflict หรือ NIAC) ต้องปฏิบัติตามหลักการได้สัดส่วน (proportionality) และความแตกต่าง (distinction) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การได้สัดส่วนป้องกันรัฐจากการใช้กำลังที่จะส่งผลให้เกิดความเสียหายข้างเคียง ส่วนความแตกต่างกำหนดให้รัฐต้องใช้กำลังในกรณีที่พลเรือนและทหารสามารถแบ่งแยกจากกันได้ ในการประชุมของสมาคมกฎหมายระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา นายฮารอล์ด โกท (Harold Lho) ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาได้กำหนดนิยามของการป้องกันทางกฎหมายของสงครามที่เป้นเป้าหมายของสหรัฐอเมริกาและระบบอาวุธล้ำสมัยไว้ว่าอิงหลักปกป้องตนเองของกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศและหลักการได้สัดส่วนและหลักความแตกต่างของหลักกฎหมายว่าด้วยการขัดกันทางอาวุธ ดังนั้น สหรัฐอเมริกาจึงถือว่าโดรนมีสถานะเช่นเดียวกันกับอาวุธรูปแบบดั้งเดิมและอยู่ภายใต้หลักกฎหมายเดียวกัน

แม้ว่าโดรนจะอยู่ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่เดิมในปัจจุบัน เทคโนโลยีและพัฒนาการของเรื่องสงครามโดยทั่วไปต้องหันกลับมาพิจารณาทบทวนใหม่ โดรนถูกใช้งานเพิ่มขึ้นในการจัดการกับเป้าหมายเฉพาะบุคคลหรือการทำลายเป้าหมายเฉพาะ ในปากิสถาน การโจมตีโดยใช้โดรนเพิ่มขึ้นจากครั้งเดียวในปี ค.ศ. 2004 เป็น 117 ครั้งในปี ค.ศ. 2010 (ข้อมูลจาก The Long War Journal.Org) โดรนถูกใช้งานโดยหน่วยงานที่ไม่ใช่ทหาร เช่น CIA ที่ใช้งานโดรนในการโจมตีเป้าหมายเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ จึงกล่าวได้ว่าการใช้งานโดรนได้ถูกขยายและเสริมสร้างขีดความสามารถของหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่ทหารในการดำเนินการโจมตีเหมือนทหารเพิ่มขึ้นด้วยต้นทุนที่ถูกในแง่ของความสูญเสียของบุคลากร นอกจากนี้ โดรนใช้งานประกอบร่วมกับงานข่าวกรองภาคพื้นดินมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการใช้ระบบอาวุธจัดการกับเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีคำถามเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเป้าหมายและความสำคัญของหลักการกฎหมายว่าด้วยการขัดกันทางอาวุธ โดยเฉพาะหลักความจำเป็นทางมหาร (military necessity)
หากพิจารณาในแง่ของเป้าหมายและความจำเป็นทางทหาร โดรนกำหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติและแม่นยำในการใช้กำลัง การใช้งานโดรนตามขอบเขตของสหรัฐอเมริกา สหประชาชาติหรือกองกำลังท้องถิ่นและตำรวจไม่ต้องเกี่ยวข้องกับการใช้กำลังเพื่อต่อสู้ การใช้งานโดรนสามารถผนวกรวมการตัดสินเป้าหมายร่วมกันได้ เช่น ทหารสิบคนจำเป็นต้องมีการตัดสินเป้าหมายสิบอย่างที่แตกต่างกัน และแต่ละคนก็จะมีความกังวลในความปลอดภัยของตนเองมากกว่าโดรนซึ่งไม่มีความสูญเสียชีวิต ดังนั้น ประเด็นจึงเป็นเรื่องความจำเป็นทางทหาร ข้อโต้แย้งในการใช้งานโดรนคือการใช้งานโจมตีมีความ
ง่่ายมาก แนวคิดเรื่องความจำเป็นทางทหารที่มาจากหลักความได้สัดส่วนและความแตกต่างจึงจำเป็นต้องได้รับการทบทวนในการใช้งานโดรน เพราะโดรนสามารถรุกล้ำเข้าอาณาเขตของประเทศเป้าหมายได้ ในขณะที่กองกำลังทหารไม่สามารถรุกล้ำเข้าได้ การขยายศักยภาพดังกล่าวต้องมีการกำหนดนิยามของการใช้งานโดรนและเป้าหมายที่แท้จริงใหม่ว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาการแพ้ต่อศัตรู

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ยังคงค้างคาอยู่เกี่ยวกับการใช้งานโดรนซึ่งมีแนวโน้มจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น ปัจจุันนี้โดรนควบคุมโดยนักบินหนึ่งคนโดยการควบคุมระยะไกล เหมือนกับเครื่องบินทั่วไป กิจกรรมของโดรนส่วนใหญ่สามารถทำงานแบบอัตโนมัติได้ ดังนั้น จึงไม่ยากที่จะจินตนาการได้ว่าในอนาคตนักบินหนึ่งคนสามารถควบคุมโดรนได้หลายลำหรือเป็นฝูงโดรน โดรนอาจจะสามารถถูกโปรแกรมให้ตอบสนองอัตโนมัติในบางสถานการณ์ เช่น การตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองหรือการหลบหลีกจากการโจมตีของศัตรู ระบบอาวุธอัตโนมัติแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการวิจัยและพัฒนาของเทคโนโลยีทางทหาร และในไม่ช้ามีความจำเป็นในทางกฎหมายที่ต้องแยกโดรนติดอาวุธออกจากอาวุธดั้งเดิมทั่วไปในระบบกฎหมายสงคราม เช่น อาจมีอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธไร้คนบังคับ (unmanned weapons convention) เป็นต้น

ประเด็นเรื่องอัตโนมัติเน้นย้ำในเรื่องของเป้าหมาย ซึ่งมีข้อพิจารณาว่าโดรนควรจะยอมให้ตัดสินใจได้เองว่าในการจู่โจมเป้าหมายหรือไม่ อย่างไร ในประเด็นนี้สร้างปัญหาทางกฎหมายในหลักกฎหมายว่าด้วยการขัดกันทางอาวุธ เช่น อาวุธที่สามารถดำเนินการได้โดยอัตโนมัติจะต้องยึดหลักความแตกต่างหรือไม่ ประเทศที่เป้นสมาชิกสนธิสัญญาอ็อตตาวาที่ห้ามระเบิดต่อต้านบุคคลแบบอัตโนมัติเพราะอาวุธดังกล่าวไม่สามารถแบ่งแยกความแตกต่างได้ว่าเป็นพลเรือนผู้บริสุทธิ์หรือทหารคู่ต่อสู้ หรือในกรณีที่โดรนที่มีอาวุธอัตโนมัติสามารถรับรู้ว่ามีการยอมจำนนและจับตัวเชลย กรณีที่เกิดขึ้นในสงครามอ่าวเปอร์เซียคือหน่วยกองกำลังรีพับลิกันได้ยอมจำนนต่อโดรนรุ่นบุกเบิกของสหรัฐอเมริกา แต่ประเด็นปัญหาที่ยากที่สุดในเรื่องอัตโนมัติคือผู้ใดจะเป็นคนรับผิดชอบกรณีที่โดรนที่มีอาวุธอัตโนมัติก่อให้เกิดความเสียหาย หลักกฎหมายว่าด้วยการขัดกันทางอาวุธระบุห่วงโซ่ของความรับผิดชอบที่ได้ขยายจากการใช้กำลัง แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าใครบ้างที่ต้องรับผิดชอบกิจกรรมหรือพฤติกรรมของโดรน
โดยสรุป โดรนได้เพิ่มขีดความสามารถทางด้านทหารอย่างรวดเร็วและกว้างขวางมากขึ้น แม้ว่าจะถูกกำกับดูแลภายใต้กฎหมายสงครามอาจในไม่ช้าอาขจก้าวล้ำนำกรอบกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดรนอาจเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาดิจการสงคราม แต่เทคโนโลยีดังกล่าวมีทั้งข้อดีและข้ดเสีย โดรนมีขีดความสามารถในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก ในอนาคตมีความเป็นไปได้ว่าโดรนอาจกลายเป็นเหมือนอาวุธที่ใช้กันทั่วไป ดังนั้น กฎหมายสงครามอาจต้องมีการปรับให้ทันสมัยกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและสร้างสมดุลให้เกิดความเป็นธรรม

วันพุธที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560

กลยุทธ์การจัดการสื่อมวลชน

นอม ชอมสกี้ นักวิชาการชื่อดังระดับโลกได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการบริหารจัดการสื่อมวลชนเพื่อโฆษณาชวนเชื่อและชักจูงประชาชน ซึ่งในหนังสือได้ระบุว่าที่ผ่านมาในอดีต รัฐบาลหลายรัฐบาลได้กำหนดกลยุทธ์โฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพ และโดยที่นิยมใช้ในการบริหารสื่อมวลชนโดยมีวาระซ่อนเร้น ทั้งนี้เนื่องจากมาจากความเชื่อที่ว่าสื่อมวลชนมีอิทธิพลต่อการบริหารความคิดเห็นของคนและสาธารณะชนอย่างสูง โดยสามารถสร้าง กระตุ้น ชะลอ หยุด หรือระงับการเคลื่อนไหวทางสังคม สามารถสนับสนุนให้เกิดสงครามที่ชอบธรรม วิกฤตการเงินชั่วคราว หรือกระตุ้นให้เกิดกระแสของอุดมการณ์ทางความคิดของสังคมได้ แม้ว่าปรากฏการณ์ของสื่อมวลชนในฐานะผู้ผลิตหรือสร้างความจริงภายจิตใจหรือชักจูงความคิดความเชื่อของคนหรือกลุ่มคนได้ แต่นักวิชาการยังคงหาวิธีการศึกษาและตรวจสอบกลยุทธ์ที่นิยมใช้ เพื่อให้เข้าใจเครื่องมือทางจิตวิทยาเหล่านี้ ศาสตราจารย์นอม ชอมสกี้ได้นำเสนอแนวปฏิบัติที่นิยมใช้และยอมรับว่าค่อนข้างมีประสิทธิภาพ โดยได้นำเสนอ 10 กลยุทธ์ที่นิยมใช้ ดังนี้
1. กลยุทธ์การหันเหความสนใจ  องค์ประกอบสำคัญของการควบคุมสังคมคือกลยุทธ์ในการสร้างกระแสหันเหความสนใจเพื่อให้สาธารณะชนสนใจไปทางอื่นโดยไม่สนใจหรือละเลยประเด็นสำคัญและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นซึ่งมักถูกำหนดโดยชนชั้นนำทางการเมืองหรือกลุ่มกุมอำนาจทางเศรษฐกิจด้วยเทคนิคของการปล่อยข้อมูลข่าวสารที่ไม่สำคัญทั่วไปเพื่อให้เกิดการหันเหความสนใจ กลยุทธ์นี้มีความจำเป็นในการป้องกันความสนใจของประชาชนในความรู้ประเด็นที่สำคัญที่อาจทำให้เกิดการลุกขึ้นมาต่อต้านหรือคัดค้าน การรักษาระดับของความสนใจของประชาชนให้หันเหจากปัญหาทางสังคมที่แท้จริงโดยให้สนใจกับประเด็นหรือสิ่งที่ไม่สำคัญ ทำให้ประชาชนยุ่งไม่มีเวลามาคิด
 2. กลยุทธ์สร้างประเด็น/ปัญหาใหม่ขึ้นมาแล้วนำเสนอการแก้ไขปัญหา วิธีการนี้มีสามขั้นตอนประกอบด้วย การสร้างปัญหา การตอบสนองต่อปัญหา และการจัดการแก้ไขปัญหา (problem -reaction- solution) การสร้างประเด็นปัญหาคือสถานการณ์ที่อ้างถึงต้นเหตุที่ทำให้เกิดการตอบสนองต่อปัญหา แล้วก็ดำเนินการแก้ไขปัญหานั้นได้สำเร็จ ซึ่งจะทำให้ประชาชนหันไปสนใจปัญหาใหม่และแนวทางการแก้ไขปัญหาว่าจะสามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาใหม่นั้นได้หรือไม่ และจะทำให้ประชาชนลืมหรือเลิกติดตามปัญหาเดิมที่แท้จริงไประยะหนึ่ง
3.  กลยุทธ์ค่อยสร้างระดับการยอมรับของประเด็นที่ไม่ยอมรับ ซึ่งกลยุทธ์นี้จะค่อยๆดำเนินการปล่อยข้อมูลข่าวสาร โดยใช้ระยะเวลาในการดำเนินการอาจจะหลายปีติดต่อกัน มักจะใช้กับประเด็นปัญหาที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หรือการปฏิรูประบบราชการโดยการลดกำลังคน อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มค่าแรง เป็นต้น ซึ่งกลยุทธ์นี้นิยมใช้ในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1992
4. กลยุทธ์ชะลอหรือดึงเวลา โดยเป็นวิธีการที่ยอมรับกับการตัดสินใจที่ไม่เป็นที่ถูกใจสาธารณชนเพราะนำเสนอทางเลือกที่เจ็บปวดแต่มีความจำเป็น เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนในการบังคับใช้นโยบายหรือมาตรการดังกล่าวในอนาคตซึ่งจำเป็นต้องนำเสนอความคิดว่าเป็นการเสียสละในอนาคตเพื่อลดความเสียหายในปัจจุบัน ประการแรกเพราะความพยายามไม่ให้เกิดความเสียหายในปัจจุบัน สาธารณะชนมักมีแนวโน้มที่จะคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในอนาคต และทำให้ยอมรับการเสียสละที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ง่ายกว่า เจ็บปวดหรือเสียหายในปัจจุบัน โดยการให้สาธารณะมีเวลามากขึ้นในการคุ้นชินกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นและยอมรับในที่สุดว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้
5. กลยุทธ์นำเสนอสาธารณะในฐานะเด็กน้อย โดยการใช้การโฆษณาประชาสัมพันธ์กับสาธารณะด้วยน้ำเสียงแบบเด็กเพื่อปิดจุดอ่อน โดยให้ผู้ชมหรือผู้ฟังมีมุมมองว่าบริสุทธิ์ จะได้โอนอ่อนผ่อนตาม
6. กลยุทธ์ใช้อารมณ์ การใช้แรงจูงใจทางอารมณ์เพื่อลดการใช้ความคิดแบบมีเหตุผลเป็นกลยุทธ์คลาสสิกประการหนึ่งด้วยการสร้างกรอบความคิดแบบจบในตัวแบบสั้นๆ ด้วยการให้การวิเคราะห์เหตุผลประกอบเพื่อดึงอารมณ์ความรู้สึกและการมีส่วนร่วมของสาธารณชนส่วนใหญ่ ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดการยับยั้งชั่งใจและปลูกฝังความคิด การสร้างแรงปรารถนา ความกลัว ความกังวล หรือชักจูงพฤติกรรมของผู้คนได้
7. กลยุทธ์รักษาความเฉื่อยชาและไม่สนใจของสาธารณะ ด้วยการทำให้สาธารณะชนไม่สามารถเข้าใจเทคโนโลยีและวิธีการในการควบคุมและทำให้ตกเป็นทาส คุณภาพของการศึกษาที่จัดให้กับชนชั้นล่างต้องแย่และปานกลางเท่าที่เป็นไปได้เพื่อยังคงรักษาช่องว่างระหว่างชนชั้นล่างกับชนชั้นบนตามที่วางแผนไว้
8. กลยุทธ์ส่งเสริมสาธารณชนพึงพอใจกับสิ่งที่มีอยู่รอบตัวหรือสิ่งทั่วไปในชีวิตประจำวัน ด้วยการส่งเสริมให้สาธารณะชนเชื่อว่าข้อเท็จจริงหรือประเด็นร้อนเหล่านั้นเป็นสิ่งไม่น่าสนใจ โง่เขลา ไม่ดี หรือไม่มีการศึกษา
9. กลยุทธ์การยอมรับผิด โดยการให้บุคคลรู้สึกว่าความโชคร้ายหรือกล่าวโทษว่าตนเองมีส่วนผิดด้วยในเรื่องนั้น เพราะเกิดจากความล้มเหลวด้านสติปัญญา ความสามารถ หรือความพยายามของตนเอง แทนที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านต่อระบบหรือนโยบายดังกล่าว ดังนั้น ประชาชนจึงรู้สึกยอมรับเป็นความผิดของตนเองแทน

10. กลยุทธ์การจัดสรรความรู้ กล่าวคือปัจจุบันรัฐบาลหรือผู้นำในสังคมมีเทคโนโลยีหรือวิธีการที่รู้จักบุคคลดีกว่าที่บุคคลนั้นรู้จักตัวเอง ในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมาความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยได้สร้างช่องว่างเพิ่มขึ้นระหว่างความรู้ของสาธารณะและความรู้ที่ชนชั้นผู้นำรู้ อันมาจากเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีด้านประสาทวิทยา และจิตวิทยาประยุกต์ ระบบที่ก้าวหน้าดังกล่าวได้ดำเนินการกับความเข้าใจที่ซับซ้อนของมนุษย์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ที่น่าสนใจคือระบบดังกล่าวมีความคุ้นเคยมากขึ้นกับคนทั่วไปมากกว่าเขาเข้าใจตัวเอง หมายความว่าส่วนใหญ่ระบบใช้ประโยชน์จากการควบคุมและอำนาจที่มากขึ้นเหนือคนทั่วไปมากกว่าคนเหล่านั้นทำกับตนเอง

วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2560

กฎหมายและศีลธรรม

ในอดีตกฎหมายและศีลธรรมยากที่แบ่งแยกออกจากกัน มีคำพูดของนักปราชญ์ชาวกรีกที่เสนอแนะว่าคนดีเป็นบุคคลที่จะทำสิ่งใดที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในยุคแรกคนดีเป็นผู้สร้างกฎหมายโดยเป็นคนที่พิจารณาตัดสินว่าอะไรดีและอะไรผิด ต่อมามีนักปราชญ์พยายามหาความแตกต่างระหว่างอะไรที่เป็นกฎหมายและอะไรที่ถูกต้องตามกฎหมายตามผู้มีอำนาจทางการเมืองและอะไรที่ควรเป็นกฎหมายสอดคล้องกับอะไรที่ถูกต้องและเป็นธรรม ตัวอย่างเช่น อะไรที่เราควรเรียกว่าถูกต้องตามศีลธรรม เราสามารถแบ่งแยกระหว่างอะไรที่เป็นกฎหมายหรืออะไรที่ถูกต้องตามจารีตประเพณีและอะไรที่ถูกต้องตามธรรมชาติ หรือที่เรียกว่าชอบด้วยศีลธรรม

บางครั้งมีความชัดเจนในทางตรงกันข้ามระหว่างอะไรที่เป็นคำสั่งของพระเจ้า เช่น อะไรที่ชอบด้วยศีลธรรม และอะไรคือคำสั่งของผู้มีอำนาจทางการเมือง เช่น อะไรที่ชอบด้วยกฎหมาย ในบทละครแอนทราโกนีได้อธิบายไว้ในกรณีที่ตัวเอกท้าทายคำส่งของกษัตริย์ซึ่งถือเป็นแหล่งความชอบด้วยกฎหมายในสถานการณ์ดังกล่าวและหน้าที่ฝังศพของพี่ชายซึ่งเป็นการกระทำที่ชอบด้วยศีลธรรม ความย้อนแย้งดังกล่าวระหว่างสิ่งที่รัฐกำหนดและสิ่งที่พระเจ้าสั่งสอนไม่ใช่หนทางหรือวิธีการที่แบ่งแยกระหว่างกฎหมายและศีลธรรมได้อย่างชัดเจน

กฎหมายเป็นข้อความคิดที่ยากจะกำหนดนิยามความหมายที่ชัดเจนซึ่งมีการถกเถียงกันอย่างมากในเชิงวิชาการ แต่ที่นิยมให้คำจำกัดความว่าหมายถึงกฎที่กำกับสังคมที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในสังคม กฎดังกล่าวถูกสร้างด้วยความกังวลในแง่มุมของพฤติกรรมและการกระทำของมนุษย์ ตั้งแต่สัญญา ละเมิด ทรัพย์สิน การจราจร และการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยของมนุษย์ในแง่ต่างๆ  ตามสารานุกรมบริทานิกาได้อธิบายคำว่า กฎหมาย หมายถึงรูปแบบเฉพาะของการควบคุมในสังคมที่มีการจัดระเบียบทางการเมืองและศีลธรรม วัตถุประสงค์ของกฎหมายของมนุษย์คือความดีร่วมมากกว่าความดีของแต่ละตัวบุคคล เพื่อให้เกิดการสร้างความเรียบร้อยอย่างใดอย่างหนึ่งที่ชัดเจนเพื่อปกป้องสังคมโดยรวม หากปราศจากกฎหมายจะไม่มีสังคม รูปแบบแรกของกฎหมายในความหมายนี้ก็คือวัฒนธรรมของชุมชนที่แสวงหาความยุติธรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์ในชุมชนในลักษณะที่ก่อตัวเป็นอารยธรรมในเวลาต่อมา

สำหรับศีลธรรมได้รับการอธิบายแตกต่างออกไป ว่าหมายถึงประมวลความเชื่อ ค่านิยม หลักการ และมาตรฐานของพฤติกรรมมนุษย์ ในบางครั้งกฎหมายก็อิงศีลธรรม ตามความเห็นของนักสังคมวิทยา เอมิล ดูรไกม์ อธิบายว่าเป็นการยากที่จะระบุกลุ่มของค่านิยมทางศีลธรรมที่เป้นที่ยอมรับของสมาชิกในสังคมสมัยใหม่ทั้งหมดได้ ศีลธรรมเป็นจิตสำนึกของบุคคลเกี่ยวกับถูกหรือผิดที่อาจได้รับอิทธิพลมาจากหลายแหล่งที่แตกต่างกัน เช่น พ่อแม่ เพื่อน สื่อ โรงเรียน ที่ทำงาน เป็นต้น ดังนั้น ศีลธรรมจึงเป็นศาสตร์ว่าด้วยสิ่งที่มนุษย์ควรกระทำ เช่น อะไรเป็นหนทางที่ถูกต้อในการกระทำและอะไรเป็นสิ่งผิด แนวคิดพื้นฐานของศีลธรรมเป็นความผิดชอบชั่วดีเป็นสิ่งสากลในสังคมหรือชุมชนนั้น หากภายในจิตใจของคนไม่มีเรื่องของศีลธรรม ก็จะลดทอนความศักดิ์สิทธิของกฎหมายลง ความผูกันหรือยอมปฏิบัติตามกฎหมายนั้นเนื่องจากการกลัวถูกลงโทษจากการบังคับใช้กฎหมาย วัตถุประสงค์ของศีลธรรมจึงเป็นเรื่องประกันความถูกต้องของจิตสำนึกของมนุษย์รายบุคคลซึ่งกฎหมายไม่สามารถบังคับจิตสำนึกให้ปฏิบัติตามได้


นักปราชญ์ชาวกรีก เพลโต้ ที่กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างการมีอยู่และความเป็นจริง หรือระหว่างสิ่งที่ดูเหมือนอย่างผิวเผินหรือปรากฎในกรณีศึกษา และสิ่งที่ผ่านเปิดเผยและมีการตรวจสอบอย่างสมเหตุสมผล ตัวอย่างเช่น เพลโต้อธิบายว่าความรู้ของสิ่งที่เป็นธรรมหรือศีลธรรม และความสามารถในการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างความยุติธรรมที่แท้จริงหรือศีลธรรมจากสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าเป็นธรรมซึ่งขึ้นอยู่กับพัฒนการและการใช้เหตุผลของมนุษย์ จึงมีความใกล้ชิดกันระหว่างความยุติธรรมที่แท้จริงหรือศีลธรรมและความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์หรือความรุ่งเรือง การจัดการทางกฎหมายและทางการเมืองแตกต่างจากความยุติธรรมที่แท้จริงที่ควรถูกทดแทนด้วยการจัดการที่ส่งเสริมให้เกิดความยุติธรรมที่ดีขึ้นและดังนั้นความอยู่ดีกินดี


สำหรับในโลกยุคใหม่ก็เช่นกัน กฎหมายและศีลธรรมก็ยังคงถือว่าเป็นศาสตร์ที่แยกออกจากกันไม่เกี่ยวข้องกัน แต่มีความเกี่ยวข้องกันคือจริยธรรมเชิงกฎหมาย (legal ethics) ที่เป็นเรื่องของความซื่อสัตย์ทางวิชาชีพของนักกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้อิงความคิดความถูกต้องหรือความผิดชอบชั่วดีของกฎหมายใดเป็นการเฉพาะ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าอาจเป็นผลมาจากการลดลงของอิทธิพลแนวคิดของความจริวเกี่ยวกับมนุษย์และกฎหมายธรรมชาติ ที่ปล่อยให้สิทธิของมนุษย์ลดลงในการต่อต้านกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมและเปิดโอกาสให้เกิดเผด็จการในการใช้กฎหมายหรือการใช้อำนาจในทางกฎหมายเพิ่มมากขึ้นในหลากหลายรูปแบบ ที่จริงแล้วเรื่องดังกล่าวสามารถมองเห็นและเข้าใจได้ไม่ยาก แต่เนื่องจากผู้คนจำนวนมากมองเรื่องดังกล่าวอย่างผิวเผินไม่มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้เว้นแต่ตนเองต้องเผชิญกับเรื่องดังกล่าว จึงจะสามารถสะท้อนแนวคิดดังกล่าวนี้ 

นักวิจารณ์บางคนได้สรุปว่าแม้ว่ากฎหมายและศีลธรรมไม่ได้ในความหมายในลักษณะเดียวกัน ทั้งที่ควรจะเป็นเนื่องจากมีความพึ่งพาระหว่างกัน กฎศีลธรรมแบ่งแยกความผิดชอบชั่วดีของการกระทำของมนุษย์ โดยมีเป้าหมายให้มนุษย์ทั้งหมดดีขึ้นพัฒนาขึ้นทั้งในแง่ของตนเองและสังคม ในขณะที่กฎหมายในแง่ของการเมืองมีเป้าหมายที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมหรือชุมชนโดยยึดหลักความยุติธรรม สงบสันติ และมีเสรีภาพ ซึ่งแน่นอนส่งผลให้เกิดเงื่อนไขบางประการในแง่ของความยุติธรรมตามความจริงและพฤติกรรมของมนุษย์ที่เป็นผลลัพท์ทางอ้อม อารยธรรมของมนุษย์ไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยปราศจากกฎหมายและศีลธรรมที่ยนหยัดอยู่เคียงข้างกันค้ำชู วิกฤตต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาได้เขย่าวัฒธรรมและความเจริญทางอารยธรรมไปยังรากฐานเนื่องจากการแบ่งแยกกฎหมายและศีลธรรมออกจากกัน รวมถึงการปฏิเสธแนวคิดของความจริงในการรวมมนุษย์เข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว การผูกพันให้เป็นหนึ่งเดียวระหว่างมนุษย์นั้นมีความเปราะบางและไม่เข้มแข็งในกรณีที่ต้องมีการแบ่งปันผลประโยชน์โดยเฉพาะด้านวัตถุและกรณีที่ผลประโยชน์ส่วนตัวอาจชักนำให้มีการแตกแยกหรือปะทะกันเกิดขึ้น ความเข้มแข็งของการรวมกลุ่มจะเกิดขึ้นต่อต้านกับการแบ่งแยกก็ต่อเมื่อมนุษย์มีคุณค่าร่วมกันในการมองและแก้ไขปัญหาไม่ว่าจะเป้นการแบ่งปันทางคุณค่า ค่านิยม ความรักชาติ หรือความเชื่อศรัทธาทางศาสนา เป็นต้น

ดังนั้น จริยธรรมอ้างสิทธิในการวิจารณ์การจัดการทางกฎหมายและแนะนำการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น การโต้เถียงในประเด็นกฎหมาย บ่อยครั้งทีโต้เถียงในประเด็นทางศีลธรรมด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างศีลธรรมกีบกฎหมายสรุปได้ดังนี้
(1) การมีอยู่ของกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เช่น กฎหมายทาส เป็นข้อพิสูจน์ว่ากฎหมายกับศีลธรรมไม่ใช่สิ่งเดียวกันและไม่ได้เกิดจากสิ่งเดียวกัน
(2) การมีอยู่ของกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันคุณค่าพื้นฐาน เช่น กฎหมายอาญาที่ลงโทษการฆาตกรรม การขโมย ข่มชืนหรือทำร้ายร่างกาย เป็นต้น  เป้นสิ่งพิสูจน์ว่าทั้งกฎหมายและศีลธรรมสามารถทำงานร่วมกันได้
(3) กฎหมายสามารถกำหนดอะไรคือการกระทำผิดที่ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดและควรถูกลงโทษ แม้ว่ากฎหมายจะละเลยเจตนาของบุคคลหรือความคิดของบุคคลก็ตาม เพราะกฎหมายไม่สามารถจัดการได้ ในขณะที่ศีลธรรมจะตัดสินบุคคลบนเจตนาและคุรลักษณะซึ่งแตกต่างจากกฎหมาย
(4) กฎหมายควบคุมพฤติกรรมอย่างน้อยบางส่วนจากความกลัวถูกลงโทษ ศีลธรรมจะกลายเป็นนิสัยหรือลักษณะที่ควบคุมพฤติกรรมโดยไม่ต้องมีการใช้กำลัง เพราะบุคคลต้องควบคุมตนเอง บุคคลที่มีศีลธรรมกระทำในสิ่งที่เหมาะสมเพราะเป็นสิ่งที่ดีที่ควรจะกระทำ
(5) ศีลธรรมสามารถมีอิทธิพลต่อกฎหมายในแง่ที่ว่าสามารถให้เหตุผลว่าทำไม่การกระทำดังกล่าวผิดกฎหมาย
(6) กฎหมายสามารถแสดงออกทางศีลธรรมต่อสาธารณะได้โดยการทำให้เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นหลักากรพื้นฐานของพฤติกรรมที่คนในสังคมทั่วไปให้การยอมรับ พร้อมทั้งเป้นแนวทางในการให้การศึกษาแก่คนรุ่นต่อไปให้ทราบคุณค่าทางสังคมที่ต้องการปลูกฝั

หลักการสื่อสารมวลชน


ประการแรก วิชาชีพสื่อสารมวลชนมีพันธะหน้าที่ในการนำเสนอความจริง เนื่องจากระบอบประชาธิปไตยต้องพึงพาและส่งเสริมให้ประชาชนมีข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือในบริบทที่มีความหมาย วิชาชีพสื่อสารมวลชนไม้ได้ติดตามความจริงในแง่ของปรัชญา แต่สามารถและต้องติดตามความจริงในแง่ทางปฏิบัติ ความจริงของสื่อสารมวลชนคือกระบวนการที่เริ่มต้นด้วยวิทยาการของวิชาชีพของการรวบรวมและตรวจสอบข้อเท็จจริง นักสื่อสารมวลชนพยายามที่จะนำเสนอความหมายของข่าวที่น่าเชื่อถือและเป็นธรรมมีการตรวจสอบความถูกต้องให้ทันสมัยและต้องมีการตรวจสอบต่อเนื่องในอนาคตด้วย นักสื่อสารมวลชนควรมีความโปร่งใสเท่าที่จะเป็นไปได้เกี่ยวกับแหล่งข่าวและวิธีการเพื่อให้ผู้รับข่าวสารสามารถประเมินข้อมูลข่าวสาร ความถูกต้องเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญที่ก่อให้เกิดทุกสิ่งตั้งแต่เนื้อหา การตีความ ข้อเสนอแนะ การวิจารณ์ การวิเคราะห์ และการโต้แย้ง ความจริงในช่วงระยะเวลาหนึ่งเกิดจากเวทีนี้ ประชาชนต้องเผชิญการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารที่มากขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องการรู้แหล่งที่มาของแห่ลงข่าวว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารและบริบทแวดล้อมดังกล่าว


ประการที่สองความซื่อสัตย์ต่อประชาชน ในขณะที่องค์กรข่าวตอบคำถามต่อประชาชน ผู้ถือหุ้นและโฆษณา นักสื่อสารมวลชนในองค์กรต้องรักษาความรู้สึกซื่อสัตย์ต่อประชาชนและผลประโยชน์สาธารณะที่ยิ่งใหญ่กว่าหากมีการเผยแพร่ข่าวสารโดยปราศความกลัวและอคติ พันธะหน้าที่ดังกล่าวต่อประชาชนเป็นพื้นฐานหลักของหน่วยงานหรือองค์กรข่าวที่มีเครดิตน่าเชื่อถือ การนำเสนอที่บอกเล่าต่อผู้ชมว่าหัวข้อข่าวไม่ได้เข้าข้างเพื่อนหรือผู้โฆษณา พันธะดังกล่าวหมายความว่าผู้สื่อข่าวต้องนำเสนอภาพของความเป็นตัวแทนของกลุ่มประชาชนที่เกี่ยวข้องในสังคม การละเลยประชาชนบางกลุ่มมีผลให้เกิดการพรากสิทธิจากพวกเขาเหล่านั้น ตามทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมข่าวสมัยใหม่คือความเชื่อว่าการสร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้ชมที่ซื่อสัตย์และครอบคลุมกว้างขวาง ความสำเร็จทางเศรษฐกิจจะตามมา ในแง่ดังกล่าวบุคคลในทางธุรกิจในองค์กรข่าวต้องทะนุถนอมความซื่อสัตย์ต่อประชาชนไว้โดยไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ

ประการที่สาม ความสำคัญของการตรวจสอบความถูกต้อง นักสื่อสารมวลชนเชื่อมั่นในวิทยาการวิชาชีพในการตรวจสอยความถูกต้องของข้อมูล เมื่อแนวคิดของความเป็นกลางพัฒนาขึ้น ไม่ได้สะท้อนว่านักสื่อสารมวลชนมีความอิสระจากอคติ แต่มีการเรียกร้องวิธีการในการตรวจสอบข้อมูลที่แม่นยำ เช่น แนวทางที่โปร่งใสต่อหลักฐาน เพื่อมิให้ความอคติทางวัฒนธรรมและส่วนบุคคลทำลายความถูกต้องของงานดังกล่าว วิธีการคือความเป็นกลางไม่ใช่นักข่าว การมองหาพยานหลายแหล่งหลายคน การเปิดเผยแหล่งข่าวให้มากที่สุด หรือการสอบถามเพื่อหาความเห็นหลากหลายด้าน ซึ่งทั้งหมดจะส่งสัญญาณมาตรฐาน วิทยาการของการตรวจสอบความถูกต้องคือสิ่งที่แยกวิชาชีพสื่อสารมวลชนออกจากการสื่อสารแบบอื่น เช่น การโฆษณาชวนเชื่อ นวนิยาย หรือบังเทิง แต่ความจำเป็นสำหรับวิธีการของวิชาชีพไม้ได้รับการยอมรับอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่นักสื่อสารมวลชนพัฒนาเทคนิคต่าง ๆในการพิจารณาข้อเท็จจริง เช่น การพัฒนาระบบในการทดสอบความน่าเชื่อถือของการตีความของนักข่าว

ประการที่สี่ ผู้สื่อสารภาคสนามต้องรักษาความเป็นอิสระจากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ความเป็นอิสระเป็นเงื่อนไขสำคัญของนักสื่อสารมวลชน หัวใจสำคัญของมันคือความเชื่อถือ ความเป็นอิสระทั้งจิตวิญญาณและหัวใจสำคัญกว่าความเป็นกลางที่นักสื่อสารมวลชนต้องยึดมั่นรักษาไว้ ในขณะที่บรรณาธิการและผู้ให้ความเห็นอาจไม่มีความเป็นกลาง แหล่งของความน่าเชื่อถือยังคงเป็นความถูกต้อง ความเป็นธรรมและความสามารถในการแจ้งข้อมูลไม่ใช่ให้ความสำคัญกับเฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะผลลัพธ์ ความเป็นอิสระนั้นนักสื่อสารมวลชนต้องหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ในการหลีกห่างจากความยโส ชนชั้นนำ การแยกตัว และความลุ่มหลงตัวเอง

ประการที่ห้าต้องทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจอย่างอิสระ วิชาชีพสื่อสารมวลชนมีความสามารถแตกต่างในการทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าระวังบุคคลที่มีอำนาจและมีตำแหน่งที่มีผลกระทบต่อประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของสื่ออิสระ ศาลได้ยืนยันหลักฐานดังกล่าว และประชาชนก็มั่นใจและเชื่อใจ นักสื่อสารมวลชนมีพันธะหน้าที่ในการปกป้องเสรีภาพของผู้เฝ้าระวังโดยไม่บิดเบือนในการแสวงหาประโยชน์จากรายได้เชิงพาณิชย์

ประการที่หก ต้องมีเวทีสำหรับการวิจารณ์สาธารณะและการประนีประนอม สื่อใหม่เป็นช่องทางร่วมในการวิจารณ์สาธารณะและความรับผิดชอบได้ก่อให้เกิดพื้นฐานสำหรับสิทธิพิเศษ การถกเถียงทำหน้าที่รับใช้สังคมอย่างดีหากได้รับการแจ้งข้อเท็จจริงมากกว่าอคติและความคาดเดาหรือข่าวลือที่เลื่อนลอย ควรที่ส่งเสริมมุมมองและผลประโยชน์ที่แตกต่างหลากหลายในสังคม และจะบรรจุให้อยู่ในบริบทมากกว่าการให้ความสำคัญเพียงเพราะมีความขัดแย้งทางความคิดในการโต้แย้ง ความถูกต้องและความสัตย์จริงต้องการให้เกิดกรอบของการโต้เถียงที่เราต้องไม่ละเลยประเด็นของพื้นฐานร่วมเมื่อมีการแก้ไขปัญหาเกิดขึ้น

ประการที่เจ็ด ต้องทำให้มีความน่าสนใจและเกี่ยวข้องมากขึ้น นักสื่อสารมวลชนถือว่าเป็นนักเล่าเรื่องที่มีวัตถุประสงค์ ควรจะทำมากกว่าการรวบรวมให้ผู้อ่านหรือผู้ชมหรือการแบ่งความสำคัญเท่านั้น นักสื่อสารมวลชนต้องสร้างสมดุลว่าอะไรที่ผู้อ่านหรือผู้ชมรู้อะไรที่ต้องการอะไรที่ไม่คาดหวังแต่มีความจำเป็นต้องรู้ ในระยะสั้นต้องกระตุ้นให้ผู้ชมมีความสนใจและเกี่ยวข้องด้วยอย่างมีนัยสำคัญ ความมีประสิทธิภาพของแต่ละวิชาชีพสื่อสารมวลชนอาจวัดได้ทั้งจำนวนงานที่เข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องกับผู้ชมและการให้ความกระจ่างแก่ผู้ชม ซึ่งหมายความว่าผู้สื่อข่าวต้องถามว่าข้อมูลข่าวสารที่มีมูลค่ามากที่สุดต่อประชาชนคืออะไรและอยู่ในรูปของอะไร ในขณะที่นักสื่อสารมวลชนควรเข้าถึงประเด็นรัฐบาลและความปลอดภัยสาธารณะ นักสื่อสารมวลชนจะถูกทับถมด้วยข้อมูลมหาศาลและข้อล่วงซึ่งสุดท้ายจะให้ข้อมูลเล็กน้อยแก่สังคม

ประการที่แปดต้องทำให้ข่าวมีความครอบคลุมและได้สัดส่วน การทำให้ข่าวได้สัดส่วนและไม่ละทิ้งสิ่งสำคัญไว้เป็นหัวใจของความเป็นจริง นักสื่อสารมวลชนในรูปของนักวาดการ์ตูนจะสร้างแผนที่สำหรับประชาชนในการพิจารณาและท่องไปในสังคม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจำนวนมากอาจมีทั้งสะเทือนอารมณ์ ธรรมดาทั่วไป ละทิ้งเหตุการณ์ หรือไม่ได้สัดส่วนในทางลบ ซึ่งจะทำให้เกิดแผนที่ที่น่าเชื่อถือน้อยลง  แผนที่ดังกล่าวควรรวมข่าวสารของชุมชนไม่เพียงแต่พื้นที่ที่น่าสนใจเท่านั้น ในการบรรลุเป้าหมายในห้องข่าวด้วยความหลากหลายของความคิดเห็นและมุมมอง แผนที่อาจเป็นเพียงการเปรียบเทียบ ความได้สัดส่วนและความครอบคลุมเป็นหัวข้อสำคัญ แต่การหลบหนีไม่ได้ลดความสำคัญลง

ประการที่เก้า นักสื่อสารมวลชนในภาคปฏิบัติต้องถูกยอมให้มีการจิตสำนึกส่วนตัว กล่าวคือนักสื่อสารมวลชนทุกคนต้องมีความรู้สึกจริยธรรมและความรับผิดชอบส่วนบุคคล หรือเข็มทิศศีลธรรม  แต่ละคนมีเจตนารมณ์ที่จะส่งเสียงที่แตกต่างจากพรรคพวกทั้งในห้องข่าว และกับผู้บริหาร หากมีความจำเป็นต้องมีความเป็นธรรมและความถูกต้อง หน่วยงานข่าวทำได้ดีในการรักษาความเป็นอิสระโดยการส่งเสริมให้แต่ละคนพูดตามที่ตัวเองคิด ซึ่งจะกระตุ้นความหลากหลายทางปัญญาที่จำเป็นต้องการเข้าใจและครอบคลุมในสังคมที่หลากหลายเพิ่มขึ้นได้อย่างถูกต้อง ในความหลากหลายทางความคิดและทางเลือกไม่ใช่แค่การเป็นสมาชิกแต่เป็นหัวใจ




ทิศทางการกำกับดูแลผู้ให้บริการทีวีดาวเทียมในยุโรปหลังคดี UPC

ในสหภาพยุโรป ปัจจุบันกรอบการกำกับดูแลเนื้อหาอิเล็กทรอนิกส์ (electronic content) ถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทประกอบด้วย เนื้อหารายการ และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งในทางทฤษฎี การออกแบบนโยบายการกำกับดูแลเน้นการกำกับดูแลช่องทางการให้บริการมากกว่าการกำกับดูแลประเภทของเนื้อหาที่ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอยู่กำกับดูแลตามแนวทางอิงตลาดของข้อบังคับสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ (electronic communications package) แต่การกำกับดูแลเนื้อหารายการอยู่ภายใต้มาตรฐานขั้นต่ำเฉพาะที่ถูกกำกับดูแลตามประเทศถิ่นตามข้อบังคับบริการสื่อวิดีทัศน์ (Audiovisual media service directive หรือ AVMSD) และข้อบังคับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce directive)

ทั้งสองตัวอย่างของกรอบการกำกับดูแลเป็นกฎหมายลำดับรองของหสภาพยุโรป แต่่มีมาตรการที่แตกต่างกันตามความสามารถในการกำกับดูแลเพราะประเทศสมาชิกมีปัจจัยของอุตสาหกรรมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันและอนุญาตให้หน่วยงานกำกับดูแลมีมาตรการที่แตกต่างกันได้ภายใต้ขอบเขตที่กำหนด การแบ่งในเชิงระนาบตามประเภทของบริการและแนวทางความเป็นกลางของเทคโนโลยีไม่ได้ง่ายหรือสมบูรณ์อย่างที่ผู้กำหนดนโยบายคาดหวัง ต้องคำนึงว่าขอบเขตของผู้ประกอบการที่ให้บริการในตลาดและและขอบเขตของบริการที่ผู้ประกอบการแต่ละคนให้บริการ ซึ่งอาจไม่มีความชัดเจนในขอบเขตเกี่ยวกับกฎหมายที่ใช้บังคับและหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างปรากฎในคดี e C-475/12 UPC v. NMHH ของศาลยุติธรรมสหภาพยุโรป

บริษัท UPC เป็นผู้ประกอบการค้าปลีกเนื้อหาอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งให้บริการกระจายเสียงวิทยุและบริการโทรทัศน์เป็นชุดที่ส่งผ่านดาวเทียมและอยู่ภายใต้เทคโนโลยีการเข้าถึงอย่างมีเงื่อนไข เช่น ข้อกำหนดให้จ่ายอัตราค่าธรรมเนียมสมาชิก ตามโครงสร้างของบริษัท ผู้บริโภคในฮังการีที่ได้รับบริการจากบริษัทลูกของ UPC ที่ตั้งอยู่ในลักเซ็มเบอร์ส หน่วยงานกำกับดูแลกิจการสื่อสารของฮังการี (Hungarian communications regulator หรือ NMHH) ขอให้บริษัท UPC จัดส่งข้อมูล แต่บริษัท UPC ปฏิเสธโดยอ้างว่าหน่วยงานกำกับดูแลกิจการสื่อสารของฮังการีไม่ใช่หน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลทั้งในแง่ของสาระของบริการและกรอบการกำกับดูแล ทั้งนี้ หน่วยงานกำกับดูแลของลักเซ็มเบอร์สควรกำกับดูแล หากหน่วยงานกำกับดูแลลักเซ็มเบอร์สระบุว่ามีอำนาจในการกำกับดูแล หน่วยงานกำกับดูแลกิจการสื่อสารของฮังการีจึงออกคำสั่งปรับบริษัท UPC ในกรณีขัดขืนคำสั่ง บริษัท UPC จึงอุทธรณ์ต่อศาลฮังการี คำถามแบ่งออกเป็นสองประเภท ตามขอบเขตของข้อบังคับสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ด้านโทรคมนาคมและความสัมพันธ์กับสนธิสัญญาว่าด้วยเคลื่อนย้ายบริการเสรี ประเด็นคำถามจึงมีดังนี้

(1) มาตรา 2(c) ของกรอบการกำกับดูแลอาจถูกตีความว่าบริการที่ผู้ประกอบการให้บริการเพื่อค่าตอบแทนให้เข้าถึงอย่างมีเงื่อนไขสำหรับชุดของเนื้อหารายการวิทยุและโทรทัศน์และส่งโดยดาวเทียมถูกจัดประเภทเป็นบริการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่ ?
(2)   สนธิสัญญาว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของสหภาพยุโรป (Treaty on the Functioning of the European Union) อาจถูกตีความว่าหลักการเคลื่อนย้ายบริการเสรีใช้บังคับกับบริการที่ระบุไว้ตามคำถามแรกในกรณีบริการให้บริการจากลักเซ็มเบอร์สไปยังฮังการี ?
(3)       สนธิสัญญาว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของสหภาพยุโรป (Treaty on the Functioning of the European Union) อาจถูกตีความว่าในกรณีบริการที่ระบุไว้ในคำถามแรกประเทศปลายทางของการให้บริการต่อบริการที่จัดส่งมีสิทธิจำกัดการให้บริการของประเภทบริการดังกล่าวโดยการกำหนดให้การให้บริการต้อวจดทะเบียนในประเทศสมาชิกและมีการจัดตั้งสาขาหรือหน่วยงานทางกฎหมายบแยกออกมาและอนุญาตประเภทของบริการต้องให้บริการผ่านการจัดตั้งสำนักงานสาขาหรือหน่วยงานทางกฎหมายที่แยกออกมาเท่านั้น ?
(4)      สนธิสัญญาว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของสหภาพยุโรป (Treaty on the Functioning of the European Union) อาจถูกตีความว่ากระบวนการทางปกครองเกี่ยวกับบริการที่ระบุไว้ตามคำถามแรกโดยไม่คำนึงว่าประเทศสมาชิกที่หน่วยงานให้บริการว่าบริการที่ให้บริการหรือจดทะเบียนจะต้องอยู่ภายใต้อำนาจกำกับดูแลของหน่วยงานกำกับดูแลของประเทศสมาชิกที่มีขอบเขตอำนาจตามสถานที่ที่บริการให้บริการ ?
(5)     มาตรา 2(c) ของกรอบการกำกับดูแลอาจถูกตีความว่าบริการที่ระบุในคำถามแรกต้องถูกจัดประเภทเป็นบริการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์หรือบริการดังกล่าวต้องเป็นบริการเข้าถึงอย่างมีเงื่อนไขที่ให้บริการผ่านระบบการเข้าถึงอย่างมีเงื่อนไขในมาตรา 2(f) ของข้อบังคับกรอบการกำกับดูแล ?
(6)    ตามคำถามทั้งหมด บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องอาจถูกตีความว่าผู้ให้บริการที่ระบุในคำถามแรกต้องถูกจัดประเภทเป็นผู้ให้บริการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายประชาคมยุโรป ?

กฎหมายของสหภาพยุโรป 

แม้ว่าจากมุมมองของผู้บริโภค บริษัท UPC จะคล้ายกับเป็นผู้ประกอบกิจการแพร่ภาพกระจายเสียง แต่บริษัท UPC ไม่ได้มีความรับผิดชอบในการเป็นบรรณาธิการพิจารณาเนื้อหารายการ ดังนั้น จึงไม่ถูกกำกับดูแลตามข้อกำหนด AVMSD ในการพิจารณาของศาลที่อิงคำพิพากษาในคดี C-518/11 UPC Netherland คำจำกัดความของบริการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์สำหรับ FD ประกอบด้วยบริการที่ให้บริการทั่วไปเพื่อค่าตอบแทนที่ประกอบด้วยบางส่วนหรือทั้งหมดในการส่งสัญญาณบนโครงข่ายสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งบริการส่งสัญญาในโครงข่ายที่ใช้เพื่อการแพร่ภาพกระจายเสียงหรือการใช้อำนาจควบคุมของบรรณาธิการ เนื้อหาที่ส่งผ่านโครงข่ายสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์
คำพิพากษาในบางตอนไม่ชัดเจน เช่น วรรคที่ 36-39 ที่ระบุคำว่าไม่รวมถึงเพ็กเก็ตสื่อสาร (communications package) ซึ่งมีคำถามว่าเนื้อหาอื่นตามบทบัญญัติดังกล่าวสามารถใช้กับผู้ค่าปลีกเนื้อหาที่อิงกับลักษณะของบริการที่ให้หรือไม่ หาก UPC ต้องรับผิดชอบสำหรับเนื้อหาตาม AVMSD ซึ่งเป็นไปได้จะอยู่ภายใต้กฎของหน่วยงานลักเซมเบอร์ เพราะข้อกำหนดดังกล่าวอ้างถึงเขตอำนาจของประเทศต้นทางที่แพร่ภาพกระจายเสียง (broadcaster’s country of origin)
แม้ว่าจะมีข้อยกเว้นการแพร่ภาพกระจายเสียง คำถามยังคงมีอยู่ว่าบริษัท UPC ตกอยู่ภายใต้นิยามของเพ็กเก็ตการสื่อสารหรือไม่ ซึ่งคำถามดังกล่าวหันกลับไปสู่นิยามของคำว่าบริการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ (electronic communications service) ตามมาตรา 2(c)FD อย่างไรก็ตามประเด็นตามข้อเท็จจริงคือบริษัท UPC ไม่ได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกหรือโครงข่ายในการส่งเป็นของตนเอง แต่ได้ว่าจ้างบริษัทที่สามในกรณีของบริการดาวเทียม ศาลให้เหตุผลประกันว่าประสิทธิภาพของระบบที่ใช้โครงข่ายของบุคคลที่สามไม่เกี่ยวข้องกับการจำแนกประเภทของบริการ การกำหนดเกณฑ์ของบริการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์คือไม่ว่าผู้ให้บริการจะรับผิดชอบกับผู้รับบริการสุดท้ายสำหรับการส่งสัญญาณในการให้บริการที่เกี่ยวข้องดังกล่าวหรือไม่

มีการเสนอแนะว่าหากบริการคือระบบการเข้าถึงอย่างมีเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามมาตรา 2(f) FD บทบัญญัติดังกล่าวที่เกี่ยวกับบริหารสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์อาจไม่ใช้บังคับ ทั้งอัยการสูงสุดและศาลปฏิเสธข้อเสนอแนะดังกล่าวว่าระบบการเข้าถึงอย่างมีเงื่อนไขอาจติดไปกับบริการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการกระจายเสียงหรือบริการโทรทัศน์โดยบริการไม่สูญเสียสถานะภาพของบริการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์
ดังนั้น เพ็กเก็ตการสื่อสารใช้บังคับได้ แต่ยังคงมีประเด็นว่าหน่วยงานกำกับดูแลฮังการีสามารถกำกับดูแลมากน้อยเพียงใด FD ไม่มีคุณสมบัติของเขตอำนาจในกรณีดังกล่าวเช่นเดียวกับ AVMSD มี ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปต้องเผชิญกับประเด็นอำนาจของหน่วยงานกำกับดูแลของประเทศสมาชิกในเรื่องอำนาจการอนุญาต ข้อกำหนดการอนุญาตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเพ็กเก็ตการสื่อสารและเกี่ยวข้องกับการจัดให้มีการออกใบอนุญาตและรูปแบบอื่นของการอนุญาตไม่ได้ผูกพันประเทศสมาชิกที่อาณาเขตนั้นให้บริการรับรู้การตัดสินใจอนุญาตที่ดำเนินการโดยประเทศสมาชิกจากประเทศที่รับบริการ การอ้างคำแถลงของหน่วยงานกำกับดูแลลักเซมเบอร์ที่กำหนดความสามารถที่ถูกกำกับดูแลเกี่ยวกับ UPC ดังนั้น ประเทศสมาชิกที่มีอาณาเขตของผู้รับบริการอาจกำหนดเงื่อนไขในการให้บริการได้ตามที่ได้รับการอนุญาตตามเพ็กเก็ตการสื่อสาร ตามมาตรา 11b ข้อกำหนดการอนุญาตมีบทบัญญัติที่มีผลที่หน่วยงานอาจเรียกร้องจากข้อมูลหน่วยธุรกิจที่ได้สัดส่วนและมีเหตุผลอย่างเป็นกลางสำหรับการตรวจสอบความถูกต้องเกี่ยกวับการคุ้มครองผู้บริโภค โดยสรุปการให้บริการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์อาจได้รับการตรวจสอบโดยหน่วยงานกำกับดูแลของประเทศสมาชิกที่ผู้รับบริการอาศัยอยู่  


หลักการเคลื่อนย้ายบริการเสรี 

ศาลฮังการีถามว่ามาตรา 56 ของสนธิสัญญาอำนาจหน้าที่ของสหภาพยุโรป (TFEU) ยกเว้นกฎที่กำหนดให้หน่วยงานที่ให้บริการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ในเขตแดนของประเทศสมาชิกต้องจดทะเบียนบริการหรือกฎกำหนดให้จัดตั้งสำนักงานสาขาในประเทศสมาชิกหรือนิติบุคคลแยกต่างหากจากบริษัททีร่ตั้งอยู่ในประเทศสมาชิกที่ส่งสัญญาณ หากมีการสร้างความเป็นเอกภาพในการกำกับดูแลผ่านข้อกำหนด กฎทั้งหลายที่เกี่ยวกับการจดทะเบียน หรือมีถิ่นที่อยู่ที่ได้รับอนุญาตจากประเทศสมาชิก ข้อกำหนดสื่อสารมองความเป็นไปได้ของการกำกับดูแของประเทศและที่ถูกระบุไว้ในข้อกำหนดกรอบการกำกับดูแลในมาตรา 1(3) และบทบัญญัติที่อนุญาตให้หน่วยงานกำกับดูแลมีดุลพินิจในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ รวมทั้งการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภค ซึ่งหมายความว่าไม่ได้มีเอกภาพอย่างสมบูรณ์ที่เดียว กฎของประเทศสมาชิกจะถูกประเมินผลโดยอ้างอิงกับเสรีภาพของสนธิสัญญา ดูตัวอย่างได้จากคดี Case C‑17/00 De Coster; Case C‑250/06United Pan-Europe Communications Belgium and Others).

กฎทั่วไปที่กำกับเสรีภาพในการให้บริการที่ถูกจัดสรรความรับผิดชอบตามกฎหมายต่อประเทศสมาชิกที่มีการจัดตั้ง และกฎหมายลำดับรองอาจมีผลต่อกฎกำกับดูแลของประเทศเจ้าบ้าน จึงมีแนวโน้มในการใช้ในทางที่มิชอบและเป็นต้นกระแสของคดีพิพาทในปัจจุบัน โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทจัดตั้งในประเทศสมาชิกที่มีระบบเอื้อและสนับสนุนให้การแพร่ภาพกระจายเสียงกลับไปยังประเทศเฉพาะ ศาลยากที่จะยอมรับว่ามีการใช้อำนาจโดยมิชอบหรือบริษัทที่จัดตั้งจริงในประเทศปลายทาง ข้อโต้แย้งดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จแม้ว่าบริษัทไม่ได้ให้บริการภายในลักเซมเบอร์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวมาตรฐานของศาล 

เงื่อนไขตามประกาศดังกล่าว ในมาตรา 3 ของข้อกำหนดการอนุญาตบรรจุกรอบกฎหมายเกี่ยวกับเงื่อนไขที่หน่วยงานกำกับดูแลอาจกำหนดกฎระเบียบเพื่ออนุญาตให้หน่วยธุรกิจที่จัดตั้งในประเทศสมาชิกอื่นให้บริการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ในอาณาเขตประเทศสมาชิกเจ้าบ้าน หากประเทศเจ้าบ้านดำเนินการตามเงื่อนไขมาตรา 3 เงื่อนไขในประกาศไม่ถูกกีดกันออกไป แต่หากมาตรา 3 สร้างความสอดคล้องในแง่ดังกล่าว เงื่อนไขที่นอกเหนือจากมมาตรา 3 ไม่สอดคล้องกับกฎหมายสหภาพยุโรป จึงไม่ถือว่าเป็นเสรีภาพสนธิสัญญา ดังนั้น หน่วยงานกำกับดูแลฮังการีอาจกำหนดเงื่อนไขตามประกาศได้

มีข้อสังเกตุว่าการบังคับใช้เสรีภาพตามสนธิสัญญาอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เช่นในคดี Canal Satellite Digital (Case C-390/99) ศาลตีความว่าข้อจำกัดของผู้ให้บริการในระบบการเข้าถึงอย่างจำกัด ต้องลงทะเบียนก่อนให้บริการเพื่อหน่วยงานของสเปนจะตรวจสอบความสามารถในทางเทคนิคเกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการที่จัดตั้งในประเทศสมาชิกอื่นอาจไม่ได้สัดส่วนหากมีการตรวจสอบซ้ำในประเทศต้นทาง

ในท้ายที่สุดศาลตัดสินว่าข้อจำกัดสำหรับการจัดตั้งที่ไม่ได้ระบุไว่เฉพาะโดยเพ็กเก็ตการสื่อสารอยู่ภายใต้การประเมินที่อ้างถึงเสรีภาพตามสนธิสัญญา ในขณะที่กำหนดให้การจัดตั้งอาจนำไปสู่การตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของเงื่อนไขของหน่วยงานกำกับดูแล เช่น การตรวจสอบที่ครอบคลุมกว้างขวางขึ่นไม่สมเหตุสมผล ในบางกรณี ข้อกำหนดการจัดตั้งเป็ยผลกระทบทางลบต่อเสรีภาพในการให้บริการและส่งผลให้เกิดการจำกัดสิทธิตามมาตรา 56 ของ TFEU ของความมีประสิทธิผลทั้งหมดและไม่สามารถอนุญาตได้ตามสนธิสัญญา

คำพิพากษาในคดีนี้แสดงถึงความสำคัญและความซับซ้อนของการพิจารณาว่าสาขาเฉพาะของกฎหมายที่ควรสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันในสหภาพยุโรป และดังนั้น เนื้อหาในควรถูกกำกะบดูแลตามเสรีภาพของสนธิสัญญ และความสำคัญของการพิจารณาระบบกฎหมายระดับรองเฉพาะที่ใช้บังคับ จึงมีความน่าสนใจว่าสหภาพยุโรปใช้แนวทางประนีประนอมในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมโดยอิงหลักการแข่งขันเป็นสำคัญ มีการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างประโยชน์สาธารณะและการใช้ประโยชน์ดังกล่าว กระบวนการยังไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะเพ็กเก็ตการสื่อสารยอมให้มีพื้นที่สำหรับการคุ้มครองผู้บริโภค และให้อำนาจในการกำกับดูแลมากขึ้นกับประเทศปลายทางที่รับชมมากกว่าเสรีภาพตามสนธิสัญญหรือกฎหมายบริการแพร่ภาพกระจายเสียงที่มีอยู่ในปัจจุบัน