วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การตัดสินประหารชีวิต

ศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกาพิจารณาการบังคับใช้โทษประหารชีวิตในทศวรรษที่ 1940-1950 ในแต่ละคดีศาลสูงสุดได้รับรองการกระทำของมลรัฐโดยมิได้มีการกล่าวถึงความชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญของโทษประหารชีวิต ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 1947 ศาลสูงสุดได้พิจารณาคดีวิลลี่ ฟรานซิส (Willie Francis) ซึ่งเป็นนักโทษในมลรัฐหลุยเซียน่าที่ในครั้งแรกถูกลงโทษประหารชีวิตด้วยการช็อคด้วยไฟฟ้าแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งต้องพบกับความเจ็บปวดทรมาน และมาประสบความสำเร็จในครั้งที่สองด้วยวิธีการช็อคด้วยไฟฟ้า ซึ่งนายฟรานซิสอ้างว่าความวิตกกังวลจากประสบการณ์ครั้งแรกที่ต้องนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าทำการต้องนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าในครั้งที่สองถือว่าเป็นการลงโทษที่โหดร้ายและผิดธรรมชาติ แต่ศาลสูงสุดยังคงยืนยันด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 เสียงว่าความทารุณโหดร้ายเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการลงโทษอยู่แล้วและไม่ถูกคาดหมายว่าจะไม่มีความโหดร้ายจากการลงโทษได้อยู่แล้ว

ในปี ค.ศ. 1958 คดี Trop v Dulles ศาลสูงสุดวินิจฉัยด้วยคะแนนเสีย 5 ต่อ 4 เสียงที่ยกเลิกสัญชาติถือเป็นการลงโทษสำหรับการก่ออาชญากรรมที่โหดร้ายและผิดธรรมชาติ ซึ่งศาลได้วางหลักการว่าเพื่อเป็นแนวทางในการวิเคราะห์สำหรับคดีต้องโทษประหารชีวิตในอนาคต โดยให้เหตุผลว่าบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 8 เรียกร้องให้การลงโทษต้องสอดคล้องกับมาตรฐานเหมาะสมตามทำนองครองธรรม
ในทศวรรษที่ 1960 กองทุนต่อสู้ทางกฎหมายของสมาคม NAACP ที่นำโดยศาตราจารย์แอนโทนี อาร์มเตอร์ดัมได้รณรงค์ต่อต้านการลงโทษประหารชีวิตอย่างเข้มข้น โดยเสนอให้ระงับการลงโทษประหารชีวิตไว้ชั่วคราว ซึ่งประสบความสำเร็จในชั้นแรก กล่าวคือมลรัฐต่าง ๆ ยอมระงับการลงโทษประหารชีวิตไว้ชั่วคราวเป็นระยะเวลา 5 ปี และสมาคมคาดว่าการรณรงค์ดังกล่าวจะประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด
ต่อมาในคดี Furman v Georgia (1972) ศาลสูงสุดมีมติด้วยคะแนน 5 ต่อ 4 เสียงในการยกเลิกกฎหมายประหารชีวิตด้วยเหตุผลอาจก่อให้เกิดการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ โดยมีคำพูดประชดประชันว่าการตัดสินลงโทษประหารชีวิตในสหรัฐอเมริกาเหมือนกับการเสี่ยงโชคซึ่งเปรียบเทียบได้กับการถูกฟ้าผ่า ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่สรุปว่าไม่ควรจะมีการลงโทษประหารชีวิตในสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป แต่ก็ไม่เป็นไปตามนั้น ในปี ค.ศ. 1976 คดี Gregg v. Georgia ศาลสูงสุดยืนยันว่ากระบวนการลงโทษประหารชีวิตฉบับใหม่ของมลรัฐจอร์เจียชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวมีเกณฑ์ที่ชัดเจนเพียงพอในการพิจารณาลดการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษประหารชีวิตเมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายฉบับเดิม และในคดีดังกล่าวศาลพิจารณาสองขั้นตอนในขั้นตอนแรกศาลพิจารณาว่ามีความผิดหรือไม่ และในขั้นตอนที่สองศาลจะพิจารณาว่าควรลงโทษประหารชีวิตหรือไม่ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจึงกลายเป็นรูปแบบและแนวทางของกฎหมายลงโทษประหารชีวิตของมลรัฐอื่น ๆ ในเวลาต่อมา ในชั้นของการพิจาราลงโทษประหารชีวิต คณะลูกขุนมีหน้าที่ต้องพิจารณามีเหตุหรือปัจจัยลดหย่อนหรือเพิ่มโทษสำหรับการก่ออาชญากรรมของจำเลย 

อย่างไรก็ตาม ศาลยังคงต้องเผชิญปัญหาเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายลงโทษประหารชีวิต เช่น เป็นผู้ลงมือฆาตกรรมหรือไม่ เป็นผู้เยาว์หรือไม่ เป็นผู้มีความบกพร่องทางสมองหรือทางจิตหรือไม่  หรือเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคมหรือไม่ เป็นต้น คดีที่น่าสนใจคดีหนึ่งคือ McCleskey v. Kemp (1987) ซึ่งมีการใช้ผลการศึกษาที่แสดงว่าฆาตกรที่ฆ่าคนผิวขาวมักจะถูกลงโทษประหารชีวิตมากกว่าการฆ่าคนผิดสีอย่างมาก  ศาลสูงสุดยังคงยืนยันความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการลงโทษประหารชีวิตอยู่ดี ต่อมาในปี ค.ศ. 2002 ศาลสูงสุดในคดี Atkins v Virginia ตัดสินด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 3 เสียงว่าการลงโทษประหารชีวิตไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหากใช้กับผู้มีความบกพร่องทางสมอง  การลงโทษประหารชีวิตผู้มีความบกพร่องหรือพิการทางสมองผิดหลักเกณฑ์มาตรฐานที่ดี ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวถูกหยิบยกมาใช้อีกครั้งในคดี Roper v Simmons ในปี ค.ศ. 2005 ซึ่งศาลด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 เสียงตัดสินว่าไม่ควรลงโทษประหารชีวิตกับบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ณ เวลาที่ก่ออาชญากรรม ซึ่งได้รับการวิจารณ์ว่าสหรัฐอเมริกาเป็นเพียงประเทศเดียวในโลกที่ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาการลงโทษประหารชีวิตเยาวชน เนื่องจากคำพิพากษาในคดี Roper เป็นการกลับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เมื่อ 16 ปีที่แล้วที่กำหนดโทษประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น