วลี "การสร้างรัฐบาลใหม่" มาจากหนังสือยอดนิยมที่ตีพิมพ์ในปี 1992 ซึ่งโต้แย้งว่าระบบการปกครองสามารถปรับทิศทางใหม่เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเท่ากับธุรกิจภาคเอกชนที่มีการบริหารจัดการที่ดีที่สุด ในหนังสือ Reinventing Government: How the Entrepreneurial Spirit is Transforming the Public Sector โดยเดวิด ออสบอร์นและเท็ด เกเบลอร์บรรยายถึงการสร้างรัฐบาลใหม่ที่กำลังดำเนินการอยู่ในทุกระดับในสหรัฐอเมริกา ผู้เขียนได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะและแนวทางปฏิบัติของสถาบันและระบบสาธารณะแบบใหม่ที่คล่องตัวและปรับตัวได้ รวมถึงการใช้การแข่งขัน ทางเลือกของลูกค้า และกลไกอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ระบบราชการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของรัฐบาล ขณะเดียวกันก็บรรลุระดับความพึงพอใจ "ของลูกค้า" ที่สูงขึ้น ผู้เขียนได้บรรยายถึงหลักการ 10 ประการที่ผู้บริหารสาธารณะที่มีพลังสามารถเปลี่ยนระบบบริหารของรัฐแบบดั้งเดิมให้กลายเป็นองค์กรสาธารณะที่ตอบสนองได้ดีกว่า กระจายอำนาจ และมีความเป็นผู้ประกอบการ สรุปได้ ดังนี้
1. ต้องการให้ระบบราชการทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงมากกว่าให้ระบบราชการลงมือทำงานเอง (a catalytic government)
2. ต้องการให้ระบบราชการเป็นระบบที่ชุมชนเป็นเจ้าของและเป็นระบบราชการที่มอบอำนาจให้กับประชาชนไปดำเนินการเองมากกว่าที่จะเป็นกลไกที่คอยให้บริการแต่อย่างเดียว (a community-owned government)
3. ต้องการให้ระบบราชการมีลักษณะของการแข่งขันการให้บริการสาธารณะ (a competitive government)
4. ต้องการให้ระบบราชการเป็นระบบที่ขับเคลื่อนด้วยภารกิจมากกว่าขับเคลื่อนด้วยกฎระเบียบ (a mission – driven government)
5. ต้องการให้ระบบราชการเป็นระบบที่ให้ความสำคัญต่อผลของการปฏิบัติงานมากกว่าสนใจถึงปัจจัยนำเข้าทางการบริหารงานและขั้นตอนการทำงานทั้งหลาย (a results-oriented government)
6. ต้องการให้ระบบราชการเป็นระบบที่มุ่งสนองตอบต่อการเรียกร้องของลูกค้ามากกว่าที่จะสนองตอบต่อความต้องการของตัวระบบราชการและข้าราชการเอง (a customer-driven government)
7. ต้องการให้ระบบราชการดำเนินงานในลักษณะที่เป็นแบบรัฐวิสาหกิจมุ่งการแสวงหารายได้มากกว่าการใช้จ่าย (an enterprising government)
8. ต้องการให้ระบบราชการเป็นระบบที่มีการเฝ้าระวังล่วงหน้า คือ ให้มีการเตรียมป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดในอนาคตมากกว่าที่จะคอยให้ปัญหาเกิดขึ้นแล้วค่อยตามแก้ (an anticipatory government)
9. ต้องการให้ระบบราชการเป็นระบบที่มีการกระจายอำนาจจากข้างบนลงไปสู่ข้างล่างตามลำดับชั้น โดยเน้นให้ข้าราชการระดับปฏิบัติงานหลักมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการทำงานเป็นทีม (a decentralized government)
10. ต้องการให้ระบบราชการเป็นระบบที่ปรับเปลี่ยนไปตามกลไกของตลาด (a market-oriented government)
หนังสือนี้ได้กลายมาเป็นแนวคิดใหม่ในการปฏิรูประบบราชการในยุคนั้น โดยมีผู้เขียนจำนวนมาก รวมทั้ง Osborne และ Gaebler ที่สำรวจถึงนัยยะและข้อจำกัดของการปฏิรูปรัฐบาลตามแนวทางของผู้ประกอบการ ในช่วงทศวรรษ 1990 มีหนังสือหลายเล่มที่ตีพิมพ์โดยใช้ชื่อเรื่องว่า "การขจัดระบบราชการ" "การปฏิรูปตัวเราเอง" "องค์กรภาครัฐที่มีประสิทธิภาพสูง" "การแนะนำพนักงานแนวหน้าให้รู้จักการปฏิรูป" "เครื่องมือสำหรับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล" และ "การปฏิรูปรัฐบาลในยุคข้อมูลข่าวสาร"
ปัจจัยที่ทำให้แนวคิดเรื่องการปฏิรูปเริ่มได้รับความนิยม เมื่อประธานาธิบดีคลินตันเปิดตัว National Performance Review (NPR; ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น National Partnership for Reinventing Government) เพื่อปรับปรุงระบบราชการของรัฐบาลกลาง โดยให้การริเริ่มนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรองประธานาธิบดีอัล กอร์ "พรรคเดโมแครตใหม่" เหล่านี้ (ซึ่งหมายถึงแนวทางการบริหารงานและการเมืองที่เป็นกลางมากขึ้น) หวังที่จะ "เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของรัฐบาลอย่างสิ้นเชิง นั่นคือเปลี่ยนจากระบบราชการที่สั่งการจากบนลงล่างเป็นรัฐบาลที่เน้นการประกอบการซึ่งให้ประชาชนและชุมชนมีอำนาจเปลี่ยนแปลงประเทศจากล่างขึ้นบน" สะท้อนให้เห็นในคำปราศรัยอันโด่งดังของประธานาธิบดีคลินตันในปี 1996 ที่ว่า "ยุคของรัฐบาลใหญ่สิ้นสุดลงแล้ว"
เทคโนโลยีและความพยายามในการ "คิดค้นสิ่งใหม่" ทำให้ระบบราชการของรัฐบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990 และยังทำให้การระบบราชการเติบโตช้าลงด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับว่าผลกระทบบางส่วนเหล่านี้ยังส่งผลต่อระบบราชการของรัฐด้วย อันเป็นผลจากแนวทางปฏิบัติใหม่ของรัฐบาลและการใช้จ่ายที่ลดลง แต่ภาษาของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่นี้มีอายุสั้น ภาษาของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ไม่ได้ถูกพูดถึงมากนักในช่วงที่จอร์จ ดับเบิลยู บุชดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เช่นเดียวกับรัฐบาลส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลในยุคของประธานาธิบดีบุชอาจมีทัศนคติว่า "ไม่ (สร้างใหม่) ที่นี่" โดยชอบที่จะสร้างแนวทางนโยบายของตนเองและวิธีการพูดคุยเกี่ยวกับเป้าหมายของรัฐบาลเอง การที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลดหย่อนภาษีและการจัดตั้งกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิขนาดใหญ่ได้แซงหน้าความคิดที่จะปฏิรูประบบราชการทั้งหมดไปแล้ว
นอกจากนี้ ปัจจัยทั่วไปอีกประการหนึ่งที่อธิบายถึงความสนใจที่ลดลงในการ "ปฏิรูปรัฐบาล" คือแนวโน้มของแนวคิดดังกล่าวที่ดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้งแล้วก็มอดดับไป แนวคิดดังกล่าวได้รับความนิยม และผู้เชี่ยวชาญและผู้กำหนดนโยบายจะพูดคุยและเขียนเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าวจนกว่าคำฮิตจะหมดความหมาย จากนั้นก็ถึงเวลาที่จะก้าวไปสู่แนวคิดใหญ่ๆ ต่อไปและศัพท์ทางการเมืองที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น แนวคิดการปฏิรูประบบราชการต้องมีการกระตุ้นใหม่อีกรอบหนึ่งตามภาวะและปัจจัยที่เอื้อหนุนด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น