อุปกรณ์สื่อสารที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันคือโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน
(Smartphone) โดยสัดส่วนของยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นมาก
เนื่องจากการพัฒนาความสามารถของโทรศัพท์มือถือที่แต่เดิมมีไว้สนทนากันเท่านั้น
แต่ปัจจุบันผู้ใช้มีกิจกรรมเพิ่มขึ้นจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือ เช่น
การเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ต การเปิดรับข้อมูลข่าวสาร การดูหนังหรือฟังเพลง
การเล่มเกมทั้งออนไลน์และออฟไลน์ทั้งนี้เป็นผลมาจากแอพพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มีการพัฒนาต่อยอดมากขึ้นทั้งจากค่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์หรือจากที่บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์หลายบริษัทหันมาพัฒนาโปรแกรมบนโทรศัพท์มือถือ
โดยเชื่อว่าจะมีอัตราการดาวน์โหลดเพื่อใช้งานที่เติบโตอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น
ตลาดแอพพลิเคชั่นหรือโปรแกรมประยุกต์บนโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์จึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่ายากที่จะมีตลาดอื่นที่จะมีอัตราการเติบโตทางด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเท่ากับตลาดแอพพลิเคชั่นในช่วงนี้
ทั้งนี้
อาจเนื่องมาจากอุปสรรคในการเข้าตลาดต่ำและข้อเท็จจริงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าใคร ๆ
ก็สามารถเข้าตลาดนี้ได้ขอเพียงให้มีความสามารถในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้
ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ขั้นสูงแต่ประการใด เช่น โปรแกรม Angry Bird ซึ่งทำรายได้ได้หลายล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา
และอีกหลายโปรแกรมที่พัฒนาโดยเด็กระดับประถมศึกษา
อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากลักษณะของตลาดแอพพลิเคชั่นนี้เองที่มีความหลากหลายและไม่รวมศูนย์
จึงยากที่จะประเมินมูลค่าตลาด มีการประมาณการณ์ว่าตลาดนี้มีมูลค่าอยู่ประมาณ 20.4
- 53 พันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกาต่อปี และคาดการณ์ว่าอาจจะพุ่งสูงถึง
63.5 + 143 พันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา
ด้วยความนิยมและเติบโตของตลาดแอพพลิเคชั่นนี้เองสร้างความกังวลให้แก่รัฐบาลโดยเฉพาะเรื่องผลกระทบของเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่อตลาดที่เข้าถึงได้อย่างกว้างขวางและขยายไปได้อย่างรวดเร็ว
ในหลายกรณี
แอพพลิเคชั่นถือเป็นช่องทางในการเชื่อมต่อกับลูกค้าเพื่อให้บริการซึ่งถูกควบคุมหรือถูกกำกับดูแลโดยรัฐ
หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลจึงมองว่าแอพพลิเคชั่นดังกล่าวอาจเปิดช่องว่างในการกำกับดูแล
และส่งผลกระทบต่อตลาดในภาพรวม
โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเดิมที่มีอยู่ในตลาดที่ต้องแบกรับต้นทุนจากการกำกับดูแล
ในขณะที่แอพพลิเคชั่นที่มีบริการเหมือนหรือคล้ายคลึงกันไม่ได้ถูกกำกับดูแลและมีต้นทุนเช่นเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น
-
ในมลรัฐเวอร์จิเนีย กรมยานยนต์ (Department of Motor
Vehicles) ออกประกาศห้ามการให้บริการแอพพลิเคชั่นที่ได้รับความนิยมสูงอย่าง
Uber และ Lyft ที่ให้บริการรถยนต์โดยสารหรือแท็กซี่
โดยอ้างว่าเป็นการแชร์รถยนต์
กรมยานยนต์ประกาศว่าจะดำเนินการจับกุมผู้ให้บริการรถยนต์โดยสารหรือแท็กซี่ที่ใช้แอพพลิเคชั่นดังกล่าว
มลรัฐต่าง ๆ อีกหลายมลรัฐก็เริ่มดำเนินการตาม
โดยให้เหตุผลว่าบริการดังกล่าวสร้างความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ให้บริการรถแท็กซี่ที่มีอยู่เดิมในปัจจุบัน
เนื่องจากผู้ให้บริการรถแท็กซี่ที่มีอยู่เดิมต้องแบกรับต้นทุนค่าใบอนุญาตและต้องถูกกำกับดูแลอย่างเข้มงวด
-
ในมลรัฐนิวยอร์ค มีการร้องเรียนในทำนองเดียวกันต่อแอพพลิเคชั่น Airbnb
ซึ่งเสนอบริการแก่นักท่องเที่ยวในการหาที่พักแรมราคาถูก
โดยจะจัดหาอพาร์ทเม้นท์ที่ว่างให้ รัฐบาลเมืองนิวยอร์คกังวลว่าแอพพลิเคชั่น Airbnb
ฝ่าฝืนกฎหมายโรงแรมเพราะบริการดังกล่าวอาจถือว่าเป็นบริการโรงแรมประเภทหนึ่งซึ่งต้องได้รับใบอนุญาต
-
แอพพลิเคชั่นเกี่ยวข้องกับอาหารจำนวนมากที่นำเสนอผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในการจัดงานเลี้ยงแก่คนแปลกหน้าเพื่อหาเพื่อน
หรือแก่คนยากจนเพื่อการกุศล
สำนักงานอาหารและยากังวลว่าการให้บริการอาหารตามช่องทางดังกล่าว
อาจเป็นช่องว่างในการกำกับดูแลซึ่งปัจจุบันมีการกำกับดูแลที่เข้มงวด
รวมทั้งบริการด้านสุขภาพที่ปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นจำนวนมากที่ให้บริการตรวจวินิจฉัยสุขภาพ
การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
และการให้คำปรึกษาด้านอาหารเพื่อสุขภาพหรือให้ข้อมูลด้านการแพทย์
ซึ่งสำนักงานอาหารและยากังวลว่าแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เหล่านี้อาจมีมูลเหตุจูงใจแฝง
เช่น การโฆษณา
หรือบางบริการอาจเป็นบริการทางการแพทย์ที่ผู้ให้บริการต้องได้รับใบอนุญาตและมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการให้บริการดังกล่าวได้
-
กรมขนส่งอยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบของบริการแอพพลิเคชั่นนำทางบนโทรศัพท์มือถือ
ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากเนื่องจากการใช้แอพพลิเคชั่นดังกล่าวเป็นการใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
หากพิจารณาในมุมมองของตลาดพบว่านวัตกรรมของบริการต่าง
ๆ ที่นำเสนอผ่านแอพพลิเคชั่นเป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายใหม่สามารถเข้าสู่ตลาดและแข่งขันกับผู้ประกอบการรายเดิมได้
ซึ่งเป็นการเพิ่มการแข่งขันในตลาด
แต่นวัตกรรมดังกล่าวก็สร้างปัญหาแก่ระบบการกำกับดูแลที่มีอยู่เดิมในตลาดซึ่งสร้างอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดและต้นทุนแก่ผู้ประกอบการไว้
ดังนั้น ผู้ประกอบการรายเดิมในตลาดจึงต่อต้านการใช้แอพพลิเคชั่นที่ให้บริการในทำนองเดียวกับตนเอง
โดยเรียกร้องให้รัฐบาลห้ามการให้บริการผ่านแอพพลิเคชั่นหรือให้อยู่ภายใต้กรอบการกำกับดูแลแบบเดียวกันเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม
แต่ในอีกแง่หนึ่งนั้น กลุ่มผู้บริโภคกล่าวว่านโยบายของรัฐบาลที่ห้ามหรือกำกับดูแลการให้บริการผ่านแอพพลิเคชั่นดังกล่าว
อาจส่งผลกระทบทางลบต่อผู้บริโภค ลดแรงจูงใจในการพัฒนานวัตกรรมและการแข่งขันในตลาด
รวมทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้
มีการประเมินมูลค่าผลประโยชน์ที่ลดลงที่เกิดจากความล่าช้าหากมีการตรวจสอบหรือกำกับดูแลแอพพลิเคชั่นโดยรัฐบาล
ซึ่งมีการประเมินว่า Apple Apps Store มีแอพพลิเคชั่นให้ดาวน์โหลด
ซึ่งในหนึ่งปีเฉลี่ยแล้วมีการดาวโหลด 40,000 ครั้งต่อแอพพลิเคชั่นและในราคา
10 เซ็นต์ต่อการดาวน์โหลดหนึ่งครั้ง Apple Apps Store
มีการเพิ่มแอพพลิเคชั่นใหม่ให้ดาวโหลด 20,000 แอพพลิเคชั่นต่อเดือนหรือ
240,000 ต่อปี ดังนั้น
หากมีการตรวจสอบและกำกับดูแลแอพพลิเคชั่นโดยรัฐบาลอาจส่งผลต่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ
1 พันล้านเหรียญต่อปี
ซึ่งเป็นการประเมินข้อมูลจากผู้ประกอบการายใหญ่รายเดียวเท่านั้น
เนื่องจากไม่มีข้อมูลเพียงพอ นอกจากนี้ ยังไม่รวมความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการลดทอนแรงจูงใจที่เกิดจากการกำกับดูแลและประโยชน์แอพพลิเคชั่นดี
ๆ ต้องถูกชะลอการใช้งาน
สำหรับทางเลือกที่มีการพิจารณากันในเบื้องต้น
โดยพิจารณาในแง่มองของการแข่งขันหรือภาระการถูกกำกับดูแลที่ไม่เป็นธรรม มีดังนี้
ทางเลือกแรก
ควรใช้กรอบการกำกับดูแลในปัจจุบันให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการที่ดำเนินการผ่านแอพพลิเคชั่นด้วย
เพื่อให้บริบทของการแข่งขันเท่าเทียมและเป็นธรรม
ซึ่งผู้ประกอบการรายเดิมในตลาดเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินนโยบายทางเลือกนี้
ทางเลือกที่สอง
ควรยกเลิกกรอบการกำกับดูแลที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือลดการกำกับดูแล
พร้อมเปิดเสรีตลาด
อันจะส่งผลเพิ่มการแข่งขันและลดอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดและลดต้นทุนของผู้ประกอบการ
ซึ่งจะส่งผลดีต่อประชาชนและผู้บริโภคที่สามารถเข้าถึงบริการที่หลากหลาย ทันสมัย ราคาลดลง
และมีทางเลือกมากขึ้น แต่ผู้ประกอบการรายเดิมในตลาดอาจไม่ชอบใจ
ทางเลือกที่สาม
รัฐบาลเลือกไม่ทำอะไรปล่อยให้เทคโนโลยี การแข่งขัน และกลไกตลาดทำงานไปเรื่อย ๆ
ซึ่งในท้ายที่สุดระบบการกำกับดุแลแบบเดิมจะลดบทบาทลงเอง
แต่ต้องใช้ระยะเวลาและไม่แน่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไร
ผู้ประกอบการายเดิมอาจปรับตัวเข้ามาให้บริการแข่งขันผ่านทางแอพพลิเคชั่นด้วย
ทางเลือกนี้ รัฐบาลใช้กับกรณีบริการ VoIP ที่แข่งขันกับบริการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ
ทั้งนี้
เรื่องดังกล่าวนี้ต้องติดตามกันดูต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น