วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ความเห็นเชิงปรึกษาของตุลาการ (Adviory Opinion)

โดยทั่วไปนั้น ความเห็นของศาลยุติธรรมที่เกิดจากประเด็นการปรึกษาหารือซึ่งเป็นความเห็นที่ไม่ได้มีผลในการพิจารณาพิพากษาคดี แต่เป็นการให้คำปรึกษาในเรื่องกฎหมายหรือการตีความกฎหมายเท่านั้นมักจะถือว่าไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย โดยบางประเทศมีขั้นตอนกระบวนการที่ฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติอาจขอให้ศาลให้คำปรึกษาประเด็นกฎหมาย ในบางประเทศศาลถูกห้าในการให้คำปรึกษหรือให้ความเห็นใด ๆ ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาพิจารณาว่าเงื่อนไขสำหรับคดีหรือข้อพิพาทที่ศาลจะมีอำนาจพิจารณาปรากฎในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐอมเริกาที่ห้ามศาลสหพันธรัฐในการให้คำปรึกษาหารือ ดังนั้น ก่อนที่ศาลจะรับฟังคดี ศาลจะต้องพิจารณาว่าคู่กรณีมีผลประโยชน์ที่จับต้องได้เป้นประเด็นของคดี และต้องมีความพร้อมในการจะตัดสินโดยทางศาลในเวลาที่ศาลจะตัดสินคดี ในอดีตประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันเคยมีหนังสือขอความเห้นทางกฎหมายจากสษลสูงสุด ซึ่งประธานศาลสูงสุดในขณะนั้นจอห์น เจย์ตอบกลับว่าอาจละเมิดการแบ่งแยกอำนาจของศาลสูงสุด ศาลที่ให้ความเห็นหรือคำปรึกษาหรือเห็นว่าประธานาธิบดีสามารถเชื่อคำปรึกษาหารือของหน่วยงานภายในฝ่ายบริหารตามมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญที่อนุญาตให้ประธานาธิบดีมีอำนาจให้เจ้าหน้าที่สูงสุดของหน่วยงานฝ่ายบริหารให้ความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรในหัวข้อที่อยูในอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานดังกล่าว เช่น การสอยถามประเด็นข้อกฎหมายกับสำนักงานอัยการสูงสุด ในศตวรรษที่ผ่านมาศาลได้ยกฟ้องคดีต่าง ๆ เพราะไม่มีข้อพิพาทเกิดขึ้นจริงระหว่างคู่กรณี ดังนั้น ความเห็นดังกล่าวจึงถือเป็นเพียงคำปรึกษาหารือ

ศาลของหลายมลรัฐถูกห้ามในการให้คำปรึกษาหารือ แม้วา่จะมีข้อยกเว้นจากข้อจำกัดดังกล่าว ในบางมลรัฐ เช่น มลรัฐโรดไอแลนด์อนุญาตให้ผู้ว่าการรัฐขอให้ศาลสูงสุดของมลรัฐตีความประเด็นความชอบด้วยกฎหมายของรัฐธรรมนูญ บางมลรัฐกำหนดให้ศาลสูงสุดให้คำปรึกษาหารือในบางเรื่องบางประเด็น เช่น การยื่นของแก้ไขบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของมลรัฐว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา แปดมลรัฐมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญอนุญาตหรือกำหนดให้ศาลสูงสุดมลรัฐในการให้คำปรึกษากับผู้ว่าการรัฐหรือรัฐสภาของมลรัฐได้ เช่น โคโลราโด้ ฟอริด้า เมนน์ แมสซาซูเส็จ มิชิแกน นิวแฮมเชียร์ โรดไอแลนด์ และดาโกต้าใต้ สำหรับมลรัฐอาลาบาม้าและดาลาแวร์กำหนดให้ศาลสูงสุดของมลรัฐมีอำนาจให้คำปรึกษาได้ตามกฎหมายทั่วไป

ทั้งนี้ คำปรึกษาดังกล่าวต้องไม่สับสนกับประเด็นคำถามที่ยื่นถามโดยศาลหนึ่งไปยังอีกศาลหนึ่ง ซึ่งอนุญาตให้ศาลสหพันธรัฐที่มีประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงแล้วและคำพิพากาาของศาลสหพันธรัฐอาจมีผลต่อกฎหมายของมลรัฐทั้งหมดหรือบางส่วน เช่นในคดี Erie หรือคดีล้มละลาย บ่อยครั้งศาลสูงสุดของมลรัฐได้ตอบคำถามในประเด็นกฎหมายของมลรัฐ ซึ่งศาลสหพันธรัฐจะนำไปใช้ในการพิจารณาคดีของตนเอง เช่น คดี Pullman abstention เพราะศาลมลรัฐในสภาวการณ์ดังกล่าวได้ให้ความเห็นที่มีผลกระทบต่อคดีที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น จะไม่ถือว่าเป็นกรณีการให้คำปรึกษาหารือ

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice)
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศทีอำนาจในการให้ความเห็นตามหมวด 4 (Chapter IV) ของกฎหมายซึ่งเป็นภาคผนวกของปฏิญาณสหประชาชาติ (United Nations Charter) เมื่อได้รับการร้องขอจากหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ ความเห็นดังกล่าวไม่มีผลผูกพัน แต่ศาสตราจารย์ Pieter H.F. Bekker โต้แย้งว่าการไม่มีผลผูกพันไม่ได้หมายความว่าคำปรึกษาหารือดังกล่าวจะไม่มีผลใด ๆ ทางกฎหมาย เพราะการให้เหตุผลทางกฎหมายที่อยู่ในคำปรึกษาหารือ ดังกล่าวสะท้อนมุมมองของศาลที่มีอำนาจในประเด็นกฎหมายระหว่างประเทศ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวที่กำหนดให้คำพิพากษาของศาลมีผลผูกพันในคดีอื่น ๆ ด้วย ที่สำคัญ คำปรึกษาหารือดังกล่าวมาจากกฎหมายและมีอำนาจในการให้คำปรึกษา ประกอบกับประกาศโดยหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติอย่างเป็นทางการ
แต่คำปรึกษาหารือมักจะมีประเด็นโต้แย้งกันบ่อยครั้ง เพราะประเด็นคำถามมีกจะเป็นประเด็นที่ท้าทายและวิพากษ์วิจารณ์กันมาก หรือเพราะข้อพิพาทถูกจัดการในลักษณะนำคดีมาสู่ศาลทางอ้อม คดีและคำปรึกษาหารือที่นำมาสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศนั้บตั้งแต่ตั้งในปี ค.ศ. 1946 มีจำนวน 161 คดี อำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีจำกัด มีเพียงประเทศสมาชิกที่จะฟ้องร้องต่ออีกประเทศสมาชิกได้และต้องได้รับความยินยอมจากประเทศสมาชิกที่ถูกฟ้องร้องดัวย อย่างไรก็ตามหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ เช่น ที่ประชุมใหญ่ทั่วไปขององค์การสหประชาชาติ (UN General Assembly) มีอำนาจในการยื่นประเด็นคำถามเพื่อขอปรึกษาหารือได้ แม้ว่าความเห็นในการให้คำปรึกษาหารือจะไม่มีผลผูกพันตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศก็ตาม ความเห็นดังกล่าวก็ไม่ถือว่าเป็นการตีความว่าอะไรคือกฎหมายระหว่างประเทศ

ศาลสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของอเมริกา (Inter-American Court of Human Rights)
ศาลสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของอเมริกาสามารถให้คำปรึกษาที่ยื่นโดยหน่วยงานและประเทศสมาชิกขององค์การประเทศอเมริกา (Organization of American States) ที่เกี่ยวกับการตีความอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนแห่งอเมริกา (American Convention of Human Rights) หรือกฎหมายอื่น ๆ เกี่ยกวับสิทธิมนุษยชนในอเมริกา รวมทั้งมีอำนาจในการให้คำปรึกษาหารือในประเด็นว่ากฎหมายภายในประเทศและร่างกฎหมายสอดคล้องกับบทบัญญัติของอนุสัญญาหรือไม่


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น