ในคดี Lawrence
v. Texas (2003) ศาลสูงสุดตัดสินว่ากฎหมายของมลรัฐห้ามการสังวาสที่ผิดธรรมชาติ
โดยเฉพาะระหว่างเพศเดียวกัน (homosexual sodomy) ขัดต่อรัฐธรรมนูญเนื่องจากฝ่าฝืนสิทธิส่วนบุคคล
คดีดังกล่าวเริ่มจากเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกค้นจับกุมนายจอห์น ลอว์เร้นท์เนื่องจากได้รับรายงานว่ามีเหตุการณ์วุ่นวายและใช้อาวุธในอพาทเม้นท์ของนายจอห์น
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับพบว่านายจอห์นกำลังมีกิจกรรมทางเพศกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง
ทั้งสองคนจึงถูกควบคุมตัวและตั้งข้อกล่าวว่าฝ่าฝืนกฎหมายพฤติกรรมรักร่วมเพศของมลรัฐเท็กซัส
ซึ่งทั้งสองคนถูกศาลพิพากษาลงโทษปรับ
ต่อมานายจอห์นได้อุทธรณ์โดยอ้างว่ากฎหมายพฤติกรรมรักร่วมเพศขัดต่อรัฐธรรมนูญเพราะเป็นการเลือกปฏิบัติต่อคนรักร่วมเพศซึ่งฝ่าฝืนสิทธิส่วนตัว
(Right to privacy) และบทบัญญัติการคุ้มครองที่เท่าเทียมกันของรัฐธรรมนูญ
ศาลอุทธรณ์ของมลรัฐเท็กซัสตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นตามแนวคำพิพากษาศาลสูงสุดในคดี Bowers
v. Hardwick (1986) ซึ่งตัดสินรับรองว่ากฎหมายต่อต้านการสังวาสผิดธรรมชาติของมลรัฐจอร์เจียไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
นายจอห์นจึงอุทธรณ์ตอศาลสูงสุดในปี ค.ศ. 2003
ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาด้วยคะแนนเสียง
7 ต่อ 2 เสียง
ตัดสินว่ากฎหมายพฤติกรรมรักร่วมเพศขัดต่อรัฐธรรมนูญและกลับคำพิพากษาที่ลงโทษนายจอห์น
ศาลสูงสุดให้เหตุผลว่ากฎหมายดังกล่าวขัดต่อบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 14
เรื่องกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลในการตัดสินใจที่จะมีสัมพันธ์กับใคร
ประเด็นในคดีนี้แตกต่างจากคดี Bower ซึ่งวางหลักว่าบทบัญญัติกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมายตามบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่
14 ไม่ได้ระบุถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของคนรักร่วมเพศในการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นการตีความที่ผิดพลาด
ประเด็นในคดีนี้ไม่ใช่สิทธิขั้นพื้นฐานของคนรักร่วมเพศ แต่เป็นสิทธิส่วนตัวในบ้าน
และสิทธิที่จะมีเพศสัมพันธ์โดยสมัครใจของผู้ใหญ่
ศาลอธิบายว่าความสัมพันธ์ทางเพศของบุคคลซึ่งมีกิจกรรมภายในบ้านถือเป็นเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้บทบัญญัติกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้
ศาลยังปฏิเสธวิธีการระบุสิทธิในคดี Bower ที่อ้างเหตุผลทางประวัติศาสตร์และจารีตประเพณีของสหรัฐอเมริกาว่าไม่เคยให้ความคุ้มครองคนรักร่วมเพศ
ศาลอ้างว่านับตั้งแต่คดี Griswold v. Connecticut (1965) ถึงคดี
Roe v. Wade (1973) สิทธิขั้นพื้นฐานได้รับการตีความอย่างกว้าง
แม้ว่ากิจกรรมที่ถูกห้ามตามกฎหมาย เช่น การทำแท้ง
อาจได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น
ประวัติศาสตร์และจารีตประเพณีควรได้รับการทบทวน
เห็นได้ชัดเจนว่ากฎหมายต่อต้านการสังวาสผิดธรรมชาติแทบจะไม่เคยมีการบังคับใช้กับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นที่บ้านหรือที่ส่วนตัว
ไม่เคยมีการลงโทษคู่เกย์เลยจนกระทั่งทศวรรษที่ 1970 ในปี
ค.ศ. 2003 มลรัฐสี่มลรัฐยังคงบังคับใช้กฎหมายการสังวาสผิดธรรมชาติต่อคนรักร่วมเพศ
และในหลายมลรัฐได้ยกเลิกกฎหมายในลักษณะดังกล่าว ผู้พิพากษา Sandra Day
O'Connor ให้ความเห็นว่าเนื่องจากกฎหมายห้ามการสังวาสที่ผิดธรรมชาติของรักร่วมเพศ
แต่ไม่ห้ามการสังวาสผิดธรรมชาติที่ต่างเพศกันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติการคุ้มครองที่เท่าเทียมกันตามรัฐธรรมนูญ
แต่เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะขยายการคุ้มครองที่เท่าเทียมกันไปยังสิทธิของคนรักร่วมเพศ
(rights to gays)
ในคดี
Lawrence v. Texas ถือว่าเป็นคดีที่มีความความสำคัญในสองแง่
กล่าวคือ ประการแรกคำพิพากษานี้วางหลักการว่ากิจกรรมรักร่วมเพศโดยสมัครใจในสถานที่ส่วนบุคคลถือเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
และประการที่สอง
สิทธิขั้นพื้นฐานหรือกิจกรรมที่ได้รับความคุ้มครองซึ่งเป็นหลักการของเสรีภาพต้องตีความในเชิงกว้าง
ไม่ใช่การยึดประวัติศาสตร์และจารีตประเพณีในการตีความ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนมองมุมหรือวิธีการตีความของศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกาครั้งสำคัญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น