ที่ผ่านประเด็นสิทธิคนรักร่วมเพศในสหรัฐอเมริกาเป็นเองที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง
ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาได้พิจารณาประเด็นดังกล่าวในช่วงทศวรรษที่
1980 เป็นครั้งแรกในคดี Bowers v. Hardwick, 478 US 186 (1986) ซึ่งประเด็นแห่งคดีคือกฎหมายของมลรัฐจอร์เจียที่กำหนดโทษทางอาญาต่อบุคคลที่มีพฤติกรรมร่วมเพศแบบวิตถารชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
แม้ว่ากฎหมายดังกล่าวจะบังคับใช้กับทั้งกรณีการรักร่วมเพศเดียวกันหรือต่างเพศกัน
ศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกาเลือกที่จะวินิจฉัยเฉพาะประเด็นความชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวเท่านั้น
ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฎว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บุกเข้าไปบ้านของนายฮาร์ดวิกส์เพื่อจับกุมในข้อหาเมาแล้วขับและไม่ปรากฎตัวต่อศาล
และพบว่านายฮาร์ดวิกส์หลับนอนกับผู้ชายด้วยกันในห้องนอนของตนเอง เจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการตั้งข้อหาพฤติกรรมร่วมเพศแบบวิตถาร
(แต่ต่อมาก็ได้ขอยกเลิกข้อหาดังกล่าว) ในคดีนี้ ศาลสูงสุด (5 ต่อ 4 เสียง) วินิจฉัยเฉพาะประเด็นสิทธิส่วนตัว
(right of privacy) ภายใต้บทบัญญัติกระบวนการชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าสิทธิส่วนตัวไม่ได้ขยายไปถึงพฤติกรรมทางเพศแบบวิตถาร
โดยให้เหตุผลประกอบในทำนองว่ากฎหมายของมลรัฐจอร์เจียที่มีบทลงโทษทางอาญาแก่บุคคลรักร่วมเพศสำหรับพฤติกรรมทางเพศที่วิตถารชอบด้วยรัฐธรรมนูญเพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้รับรองสิทธิพื้นฐานของคนที่มีพฤติกรรมทางเพศแบบวิตถารไว้
และพฤติกรรมดังกล่าวก็ขัดต่อวัฒนธรรมทางสังคมที่ดีงาม สำหรับต่อมาในปี ค.ศ. 1999
ศาลสูงสุดของมลรัฐจอร์เจียวินิจฉัยว่ากฎหมายดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญของมลรัฐจอร์เจีย
ในปี ค.ศ. 1996
ศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกาได้พิจารณาประเด็นเรื่องสิทธิคนรักร่วมเพศในคดี Romer v. Evans ประเด็นแห่งคดีคือบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของมลรัฐโคโลราโดซึ่งประชาชนเห็นชอบ
54% และไม่เห็นชอบ
46%
ที่ห้ามมลรัฐหรือหน่วยงานรัฐในการยอมรับหรือรับรองกฎหมายที่ให้เอิ้อหรือคุ้มครองสิทธิคนร่วมร่วมเพศ
ศาลเสียงส่วนใหญ่ (6 ต่อ 3 เสียง)
วินิจฉัยว่าบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญของมลรัฐโคโลราโดขาดเหตุผลเพียงพอและละเมิดสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองที่เท่าเทียมกันของคนรักร่วมเพศ
ศาลเสียงข้างน้อยวิจารณ์คำพิพากษาเสียงส่วนใหญ่ว่าเป็นการเลืกข้างในสงครามวัฒนธรรม
ต่อมาในคดี Boy Scouts of America v Dale เป็นคดีที่นักวิชากการเรียกว่าสิทธิไม่เข้าร่วมสมาคม
(Right not to associate) กล่าวคือ
สมาคมลูกเสือมีสิทธิที่จะกีดกันชาวเกย์ไม่ให้เข้าร่วมสมาคมของตนเองโดยถือว่าเป็นสิทธิในแารแสดงออกตามบทับญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่
1 ซึ่งยอมรับให้สิทธิเสรีภาพแก่สมาคมในการแสดงออกที่จะไม่ยอมรับสมาชิกที่อาจสร้างปัญหากับวัตถุประสงค์ของสมาคมหรือกลุ่ม
ต่อมาในปี ค.ศ. 2003 ศาลสูงสุดได้พิจารณาคดี Lawrence v. Texas ซึ่งมีการฟ้องร้องว่ากฎหมายของมลรัฐเท็กซัสได้กำหนดโทษทางอาญาพฤติกรรมการร่วมเพศแบบวิตถารของคนรักร่วมเพศ
แต่จะไม่ลงโทษหากพฤติกรรมในทำนองเดียวกันเกิดกับกรณีต่างเพศกัน
ศาลสูงสุดเสียงส่วนใหญ่ (5 ต่อ 4 เสียง)
พิจารณาในประเด็นกระบวนการชอบด้วยกฎหมายในสารบัญญัติ (Substantive due process) และการคุ้มครองที่เท่าเทียมกัน
(equal protection) โดยเสียงส่วนใหญ่ได้วินิจฉัยกลับแนวทางคำพิพากษาในคดี
Bowers v. Hardwick ที่วางหลักไว้เดิมว่ามลรัฐไม่มีอำนาจหรือเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมายในการกำกับดูแลพฤติกรรมทางเพศของผู้ใหญ่ที่ยินมยอมพร้อมใจ
เนื่องจากเป็นสิทธิส่วนบุคคล หลังจากคำพิพากษาดังกล่าว 12
มลรัฐได้ยอมรับการแต่งงานของเพศเดียวกัน และในหลายมลรัฐ ศาลสูงสุดของมลรัฐ เช่น
มลรัฐแมสซาซูเซส ไอโอว่า และคอนเน็ตติกัส
ได้วินิจฉัยว่าการห้ามเพศเดียวกันแต่งงานเป้นการขัดต่อรัฐธรรมนูญของมลรัฐ
ในบางมลรัฐ รัฐสภาของมลรัฐได้ออกกฎหมายอนุญาตและรับรองการแต่งงานของเพศเดียวกัน
ในปี ค.ศ. 2013 คดี United States v. Windsor ศาลตัดสินว่าบทบัญญัติกฎหมายการป้องกันการแต่งงาน
(Defense of Marriage Act) ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญโดยการให้เหตุผลว่าขัดกับหลักการคุ้มครองที่เท่าเทียมกัน
(Equal Protection Principles) ที่อยู่ในบทบัญญัติกระบวนการชอบด้วยกฎหมาย
(Due Process Clause) ของบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่
5
ศาลเสียงส่วนใหญ่ ( 5 ต่อ 4 เสียง)
ระบุว่าการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วจำเป็นต้องให้มีการเลือกปฏิบัติลักษณะที่ผิดปกติ
การจัดการกับปัญหาของการยังยั้งที่รัฐบาลกลางยอมให้มลรัฐกำหนดนิยามและขอขเขตของการแต่งงาน
ซึ่งนำไปสู่การตีความกฎหมายรัฐบาลกลางที่ไม่ยอมรับการแต่งงานของเพศเดียวกันไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
เช่น การยื่นขอรับภาษีคืน
แม้ว่าคู่แต่งงานมีการแต่งงานโดยชอบด้วยกฎหมายโดยการรับรองจากมลรัฐ
ในความเห็นแย้งชี้ว่าคำพิพากษานี้อาจนำไปสู่การประกาศว่าการที่มลรัฐห้ามเพศเดียวกันแต่งงานเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น เรื่องดังกล่าวควรให้มลรัฐพิจารณาเอง
ทั้งนี้ ไม่ว่าบทบัญญัติศรัทธาและเครดิตอย่างมาก
(Full faith
and credit clause) จะกำหนดให้มลรัฐไม่อนุญาตให้มีการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันได้ปฏิเสธที่จะยอมรับความชอบด้วยกฎหมายของการแต่งงานที่ดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายในอีกมลรัฐหนึ่งซึ่งกลายเป็นประเด็นที่ยังคงเปิดกว้างอยู่
ศาลได้เปิดคำถามว่าการห้ามเพศเดียวกันแต่งงานของมลรัฐขัดกับบทบัญญัติการคุ้มครองที่เท่าเทียมตามบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบบัที่
14 หรือไม่ ในปี
ค.ศ. 2014 ศาลชั้นต้นของสหรัฐอเมริกาในมลรัฐยูท่าห์และโอกาโฮม่าได้ตัดสินว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญของมลรัฐที่ประกาศว่าการแต่งงานต้องต่างเพศกันเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งคำถามดังกล่าวอาจขึ้นไปสู่การพิจารณาของศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกาในไม่ช้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น