นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาใช้บังคับในวันที่
4 มีนาคม ค.ศ. 1789 มีการแก้ไขปรับปรุงจำนวนทั้งสิ้น
33 ครั้ง
ที่ผ่านมามีข้อเสนอขอแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติรัฐธรรมจำนวน 11,539 ฉบับ โดยเสนอต่อรัฐสภาและเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบก็จะส่งให้แต่ละมลรัฐให้ความเห็นชอบและให้สัตยาบัน
ทั้งนี้ มีการแก้ไขปรับปรุงจำนวน 27 ฉบับที่มีการให้สัตยาบันโดยมลรัฐในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ
การแก้ไขสิบครั้งแรกได้รับการยอมรับและให้สัตยาบันทันทีซึ่งเรียกโดยรวมว่า
บัญญัติสิทธิพื้นฐานของพลเมือง (Bill of Rights) โดยระบุสิทธิพื้นฐานของพลเมืองที่รัฐมีหน้าที่ต้องพิทักษ์และปกป้อง
อนึ่ง การแก้ไขปรับปรุงอีกจำนวน 6 ฉบับรัฐสภาให้ความเห็นชอบและส่งไปยังมลรัฐเพื่อให้สัตยาบัน
แต่ยังไม่มีการให้สัตยาบันในทางเทคนิค การแก้ไขจำนวน 4 ฉบับยังคงค้างพิจารณาอยู่และเปิดกว้างในถกเถียง
อีกสองฉบับตกไปโดยปริยาย
ผู้ร่างรัฐธรรมนูญตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างรัฐบัญญัติที่เป็นกฎหมายทั่วไปกับรัฐธรรมนูญ
จึงกำหนดเงื่อนไขของการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญที่มีความเข้มงวดมากกว่า
กระบวนการและเงื่อนไขของการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญปรากฎอยู่ในมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญเอง ซึ่งกำหนดสองขั้นตอน คือ
ข้อเสนอแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญต้องได้รับความเห็นชอบและส่งให้มลรัฐให้สัตยาบันโดยในขั้นตอนแรกนั้น
รัฐสภาโดยมีจำนวนเสียงส่วนใหญ่สองในสามของทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร์
และในขั้นตอนที่สอง ต้องประกอบด้วยรัฐสภาของสองในสามของจำนวนมลรัฐ
เพื่อให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ
บทบัญญัติที่แก้ไขปรับปรุงต้องได้รับความเห็นชอบ (สัตยาบัน)
โดยวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้ (๑) โดยความเห็นชอบของรัฐสภาจำนวน 3
ใน 4 ของจำนวนมลรัฐทั้งหมด (38 เสียงของมลรัฐ) ภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือ (๒) การประชุมในวาระให้สัตยาบันของมลรัฐในการประชุมแห่งชาติ
โดยต้องมีคะแนนเสียงอย่างน้อย 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงมลรัฐทั้งหมด
(38 เสียงของมลรัฐ) ภายในระยะเวลาที่กำหนด
ปัจจุบันมีการประชุมในแบบ ๑ เป็นส่วนใหญ่
ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว การแก้ไขปรับปรุงอาจถูกบล๊อกได้โดยมลรัฐ 13 มลรัฐที่อาจคัดค้านการแก้ไขปรับปรุงไม่ว่าจะอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร์หรือวุฒิสภา
ดังนั้น การแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถทำได้ง่าย
ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มความสำคัญให้กับคำพิพากษาของศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา
เพราะการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงผลทางกฎหมายของคำพิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกาโดยการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นได้ยากยกเว้นในกรณีมีคะแนนเสียงใกล้เคียงกันและเป็นประเด็นที่สาธารณะโต้แย้งอย่างมาก
ซึ่งศาลอาจเปลี่ยนแปลงเองในเวลาต่อมา
นอกจากนี้
ในหลายครั้งศาลสูงสุดเองก็ได้พิจารณายืนยันความชอบด้วยกฎหมายของบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ซึ่งศาลสูงสุดพิจารณากระบวนการยื่นข้อเสนอแก้ไขปรับปรุงและการให้สัตยาบัน
รวมทั้งเนื้อหาของบทบัญญัติที่แก้ไขก็ถือว่าอยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาล
ไม่ถือว่าเป็นคำถามทางการเมือง (Political Question) ตัวอย่างเช่น ในคดี Hawke v. Smith (1920) ศาลสูงสุดตีความว่าการให้สัตยาบันของมลลรัฐโฮไอโอในบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่
8 ที่ถูกคัดค้านว่ารัฐธรรมนูญของมลรัฐโฮไอโอกำหนดให้มีการทำประชามติในประเด็นที่ผู้มีสิทธิลงคะแนนอาจไม่เห้นชอบด้วยกับการให้สัตยาบันของรัฐสภาของมลรัฐฯ
ศาลสูงสุดสรุปว่ากฎหมายของรัฐบาลกลางกำหนดตามมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญที่กำหนดเป็นการเฉพาะในการให้สัตยาบันกฎหมายของมลรัฐ
จึงเหนือกว่ากระบวนการให้สัตยาบันของมลรัฐที่ขัดหรือแย้งดังกล่าว ต่อมาในคดี National
Prohibition Cases, 253 US 650 (1920) ศาลตีความรับรองความชอบด้วยกฎหมายของบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่
18 และปฏิเสธข้ออ้างว่าการห้ามการจำหน่ายหรือครอบครองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่สามารถอนุญาตได้ตามรัฐธรรมนูญ
จึงไม่อาแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญได้
ในคดีล่าสุดมีการตีความรัฐธรรมนูญว่าบทบัญญัติที่แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 21
ได้ยกเลิกบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 โดยในคดีแรกคือคดี
LaRue v. California, 409 US 109 (1972) ศาลสูงสุดสรุปว่าบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับที่
21 ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1
ที่ยอมให้มลรัฐกำกับดูแลการแสดงออกความเห็นในบาร์เหล้าหรือร้านจำหน่ายสุราได้
ซึ่งมลรัฐแคริฟอร์เนียได้ห้ามมิให้บาร์จำหน่ายเหล้าจัดให้มีการแสดงอนาจาร
แม้ว่าข้อจำกัดดังกล่าวอาจละเมิดบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 ก็ตาม ในปี ค.ศ. 1996 ในคดี 44 Liquormart,
Inc. v. Rhode Island, 517 US 484 (1996) ศาลเห็นว่าว่าบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่
21 ไม่อยู่ภายใต้ขอบเขตของบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1
แม้ว่าจะอนุญาตให้ข้อจำกัดแอลกอฮอล์อาจฝ่าฝืนบทบัญญัติพาณิชย์ (Commerce
Clause) ดังนั้น
ศาลจึงวินิจฉัยว่าข้อจำกัดการโฆษณาราคาของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ละเมิดบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่
1 ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 ในคดี Granholm
v. Heald, 544 US 460 (2005) ศาลตีความว่ามาตรา 2 ของบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 21 ไม่ได้ให้มลรัฐมีอำนาจในการเลือกปฏิบัติต่อผู้จำหน่ายไวน์ที่จำหน่ายนอกเหนือขอบเขตของมลรัฐซึ่งอาจละเมิดบทบัญญัติพาณิชย์
ศาลเสียงส่วนใหญ่ (5 ต่อ 4 เสียง)
ตัดสินว่ากฎหมายของมลรัฐมิชิแกนที่ห้ามจำหน่ายไวน์แก่พลเมืองชาวมิชิแกนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
มลรัฐมิชิแกนอนุญาตให้ไวน์ที่ผลิตในมลรัฐมิชิแกนเท่านั้นที่สามารถจัดส่งไวน์แก่ลูกค้าได้
แต่ห้ามพลเมืองนอกมลรัฐมิชิแกนจำหน่าย
แต่ศาลให้ข้อสังเกตว่าบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 21 มีความชัดเจนที่ให้อำนาจแก่มลรัฐในการห้ามการจัดส่งไวน์หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นโดยตรงทั้งหมดแก่ลูกค้าได้
หากมลรัฐใดประสงค์จะห้าม
สำหรับความเห็นแย้งทั้งสี่เสียงเห็นว่าประวัติการยกร่างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับที่
21 แสดงว่าได้มีการยกเว้นกฎเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากการห้ามโดยปกติทั่วไปในการเลือกปฏิบัติตามบทบัญญัติพาณิชย์
แต่มีการตีความผิดพลาดในเชิงนโยบายมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น