หลักการใช้สิทธิโดยมิชอบในกฎหมายลิขสิทธิ์คล้ายคลึงกับหลักการใช้สิทธิโดยมิชอบของกฎหมายสิทธิบัตร
การใช้สิทธิโดยมิชอบตามกฎหมายสิทธิบัตรเกิดขึ้นเมื่อเจ้าของสิทธิบัตรกำหนดเงื่อนไขการใช้สิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับสิทธิบัตรกับการซื้อสินค้าที่ไม่ได้รับสิทธิบัตรที่จัดจำหน่ายโดยเจ้าของสิทธิบัตร
ศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกาตัดสินว่าการกระทำดังกล่าวพยายามขยายขอบเขตของสิทธิบัตรโดยไม่ถูกต้อง
และดังนั้น เจ้าของสิทธิบัตรที่นำคดีไปสู่ศาลถือว่ามาศาลด้วยมือที่ไม่สะอาดและศาลจะปฏิเสธการบังคับใช้สิทธิบัตรจนกว่าการใช้สิทธิโดยมิชอบจะสิ้นสุดลง
และผลดังกล่าวไม่ได้มีอยู่อีกต่อไป
การใช้สิทธิโดยมิชอบไม่จำเป็นต้องโต้แย้งต่อผู้กระทำละเมิด
การใช้สิทธิโดยมิชอบสามารถใช้โต้แย้งกับการฟ้องละเมิดสิทธิบัตร ก่อนปี ค.ศ. 1990
เกิดหลายคดีเกี่ยวกับการใช้สิทธิโดยมิชอบตามกฎหมายสิทธิบัตร
แต่ไม่มีเกิดขึ้นในกฎหมายลิขสิทธิ์ แต่ในปี ค.ศ. 1990 ศาลอุทธรณ์ภาค
4 ในคดี Lasercomb America v. Reynolds. (911
F.2d 970, 15 USPQ2d 1846 (4th Cir. 1990))ได้ยอมรับหลักการใช้สิทธิโดยมิชอบเช่นเดียวกับกฎหมายสิทธิบัตร
กล่าวคือบริษัทเลเซอร์คลอมบ์ได้ผลิตโปรแกรมช่วยออกแบบคอมพิวเตอร์ซึ่งนายเรย์โนลด์และบริษัทของเขาได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ
นายเรย์โนลด์ได้ใช้สิทธิเกินขอบเขตที่ได้รับอนุญาตจากบริษัทเลเซอร์คลอมบ์ เพราะนายเรย์โนลด์ได้ค้นพบวิธีการหลีกเลี่ยงระบบจำกัดสิทธิจำนวนการใช้งาน
บริษัทเลเซอร์คลอมบ์ได้ฟ้องดำเนินคดีนายเรย์โนลด์ข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์
นายเรย์โนลด์อ้างว่าแม้จะมีการละเมิดลิขสิทธิ์จริง แต่ไม่ควรต้องมีความรับผิดเพราะบริษัทเลเซอร์คลอมบ์ใช้สิทธิตามกฎหมายลิสิทธิ์โดยมิชอบในข้อตกลงการอนุญาตให้ใช้สิทธิดังกล่าว
ซึ่งศาลเห็นด้วยกับข้อต่อสู้ดังกล่าว ในข้อตกลงดังกล่าว
ผู้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิต้องตกลงที่จะไม่พัฒนาโปรแกรมช่วยการออกแบบคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลา
99 ปี
ซึ่งเกินระยะเวลาการให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามกฎหมายซึ่งมีระยะเวลาเพียง 75
ปี
ศาลตีความว่าบริษัทเลเซอร์คลอมบ์พยายามขยายเงื่อนไขและขอบเขตของงานลิขสิทธิ์เกินที่กฎหมายลิขสิทธิ์กำหนดไว้
และเป็นการป้องกันบุคคลอื่นมิให้พัฒนาโปรแกรม
ซึ่งถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยมิชอบของบริษัทเลเซอร์คลอมบ์
ศาลจึงปกิเสธการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์กับนายเรย์โนลด์
ประเด็นที่น่าสนใจคือนายเรย์โนลด์และบริษัทไม่เคยลงนามในข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิกับบริษัทเลเซอร์คลอมบ์
แต่ก็อาจไม่มีความแตกต่างเพราะบริษัทเลเซอร์คลอมบ์ใช้สิทธิโดยมิชอบในการกำหนดให้บุคคลอื่นลงนามในข้อตกลงและศาลระบุว่าไม่สามารถฟ้องร้องการละเมิดสิทธิได้จนกระทั่งจัยกเลิกการใช้สิทธิโดยมิชอบ
ข้อต่อสู้การใช้สิทธิในลิขสิทธิ์โดยมิชอบคล้ายกับกรณีการต่อสู้ในประเด็นการป้องกันการผูกขาดที่เมื่อเจ้าของลิขสิทธิ์ได้ใช้สิทธิผูกขาดตามกฎหมายลิขสิทธิ์โดยไม่ชอบ
แต่ในคดี Lasercomb ศาลวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ประเด็นการใช้สิทธิโดยมิชอบจะใช้ได้เมื่อการใช้สิทธิโดยมิชอบไม่ได้ถึงระดับของการละเมิดกฎหมายป้องกันการผูกขาด
ในเรื่องการใช้สิทธิในลิขสิทธิ์โดยมิชอบนั้นเป็นกรณีที่มีการหลอกลวงสำนักงานลิขสิทธิ์
กล่าวคือบุคคลที่จดทะเบียนลิขสิทธิ์แจ้งข้อมูลเท็จหรือปกปิดข้อมูลที่สำคัญ
ตัวอย่างเช่น ลูกจ้างขอจดทะเบียนลิขสิทธิ์ในงานที่ทำในขอบเขตการที่จ้างแรงงาน
ซึ่งตามกฎหมายแล้วเจ้าของลิขสิทธิ์คือนายจ้าง
แต่กรณีนี้ลูกจ้างมาอ้างความเป็นเจ้าของ ซึ่งหากลูกจ้างที่จดทะเบียนเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ได้ดำเนินการฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องร้องอาจยกข้อโต้แย้งในเรื่องดังกล่าวได้
ซึ่งศาลจะไม่บังคับใช้กฎหมายในกรณีดังกล่าว คดี Lasercomb ได้รับการยอมรับและอ้างในหลายคดี
แต่ก็ไม่ถือว่าเข้าข่ายการใช้สิทธิโดยมิชอบ
ในคดี Atari v. Nintendo (975
F.2d 832, 24 USPQ2d 1015 (Fed. Cir. 1992)) ศาลอุทธรณ์ใช้ข้อโต้แย้งการใช้สิทธิโดยมิชอบในการไม่การบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์
แต่จะปฏิเสธข้อต่อสู้การใช้โดยชอบธรรม (fair use) แม้ว่ามีการใช้ที่มีลักษณะเป็นการใช้โดยชอบธรรม
แต่เพราะจำเลยได้หลอกลวงสำนักงานลิขสิทธิ์เพื่อให้ได้สำเนาโค้ดต้นแบบของโปรแกรมคอมพิวเตอร์
(source code) และนำคดีสู่ศาลด้วยมือที่ไม่สะอาด
จำเลยไม่สามารถใช้ข้อต่อสู้การใช้ที่ชอบธรรมได้ในกรณีนี้ ในขณะที่ข้อต่อสู้ประเด็นการใช้สิทธิโดยมิชอบมักรู้จักว่าเป็นสถานการณ์ที่บุคคลพยายามใช้สิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์เกินขอบเขตการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
การลงโทษกรณีของการใช้สิทธิโดยมิชอบคือการไม่บังคับใช้สิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์
ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการสูญเสียสิทธิตามกฎหมาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น