ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประกอบกับความทะเยอทะยานของบางประเทศสามารถนำมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศ
และที่ผ่านมาได้สร้างความก้าวหน้าและสร้างประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ในด้านหลายๆ ด้าน อาทิ
ระบบสื่อสารโทรคมนาคม การสำรวจข้อมูลระยะไกล (Remote Sensing) อุตุนิยมวิทยา กิจกรรมด้านการทหาร เป็นต้น และด้วยเหตุที่ประเทศต่างๆ ต้องการใช้อวกาศเพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ จนมีความกังวลว่าอาจกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศได้
จึงทำให้มีการประชุมร่วมกันของประเทศต่างๆที่มีศักยภาพในการสำรวจและใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อสร้างกฎเกณฑ์การสำรวจและใช้ประโยชน์อวกาศร่วมกัน
โดยกฎหมายอวกาศฉบับแรกคือ สนธิสัญญาอวกาศปี 1967 ซึ่งหลังจากนั้นได้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์อวกาศอีกหลายฉบับ
เช่น ข้อตกลงดวงจันทร์ปี 1979 ข้อตกลงเกี่ยวกับการช่วยเหลือมนุษย์อวกาศ
ปี 1968 อนุสัญญาความรับผิดระหว่างประเทศที่ก่อให้เกิดความเสียหายจากวัตถุอวกาศปี
1972 อนุสัญญาและการลงนามในการ ส่งยานอวกาศ ปี 1975 แต่แม้จะมีกฎหมายอวกาศออกมาหลายฉบับ
แต่การมีกฎหมายเหล่านี้ได้ทำให้เกิดความขัดแย้งในการตีความตัวกฎหมายขึ้นมา ประเด็นหนึ่งที่ได้รับการถกเถียงกันมากคือเรื่องความรับผิดชอบของรัฐในกิจกรรมอวกาศ
มาตรา 6 และมาตรา
8 ของสนธิสัญญาอวกาศปี ค.ศ. 1967 ได้กำหนดพันธกรณีสำหรับรัฐภาคีสมาชิกให้ปฏิบัติตามในการดำเนินกิจกรรมของตนเองในห้วงอวกาศ
โดยมาตรา 6 กำหนดว่ารัฐภาคีสมาชิกต้องมีความรับผิดชอบระหว่างประเทศสำหรับกิจกรรมแห่งชาติในอวกาศ
...
ไม่ว่ากิจกรรมดังกล่าวจะดำเนินการโดยองค์กรของรัฐบาลหรือมิใช่องค์กรของรัฐบาลและเพื่อประกันว่ากิจกรรมแห่งชาติได้ดำเนินการสอดคล้องกับข้อบทของสนธิสัญญา
ทั้งนี้ ความรับผิดชอบระหว่างประเทศ (responsibility) ในแง่ของมาตรา
6 ของสนธิสัญญาอวกาศครอบคลุมไปยังรัฐของกิจกรรมแห่งชาติทั้งหมดในอวกาศ
ผลกระทบที่สำคัญที่เกิดขากความรับผิดชอบตามมาตรา 6 มีการถกเถียงจากรัฐที่ออกกฎหมายในระดับประเทศเพื่อตอบคำถามว่ากิจกรรมอวกาศของเอกชนและผลกระทบทางกฎหมายที่รัฐมีความรับผิดชอบระหว่างประเทศ
ประวัติการร่างมาตรา 6 สนธิสัญญาอวกาศแสดงการถกเถียงที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการร่างประกาศขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยหลักกฎหมายกำกับกิจกรรมของรัฐในการสำรวจและใช้ประโยชน์อวกาศ
ปี ค.ศ. 1963 (United Nations Declaration on the Legal
Principles Governing the Activities of States in the Exploration and Use of
Outer Space)
สหภาพโซเวียตเห็นด้วยกับการผูกขาดโดยรัฐ
(state monopoly) ซึ่งตรงกันข้ามกับสหรัฐอเมริกาที่ต้องการให้ภาคเอกชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในกิจการอวกาศได้และพยายามลดเงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆ
ในมาตรา 6 เป็นการประนีประนอมระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ
กิจกรรมอวกาศสามรรถดำเนินการได้โดยหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายนอกเหนือจากหน่วยงานรัฐบาล
แต่รัฐต้องมีความรับผิดชอบระหว่างประเทศสำหรับกิจกรรมแห่งชาติไม่ว่ากิจกรรมนั้นดำเนินการโดยหน่วยงานรัฐบาลหรือมิใช่หน่วยงานรัฐบาล
ในทางตรงกันข้ามกับแนวคิดนี้ใช้บังคับตามกฎหมายระหว่างประเทศคือ
หากความรับผิดชอบของรัฐโดยทางตรงต้องเกี่ยวกับการกระทำที่มีส่วนโดยตรงต่อรัฐและรัฐสามารถถูกระบุสำหรับการกระทำโดยเอกชนตามความรับผิดชอบโดยทางอ้อม
(indirect) ความระมัดระวังอย่างเหมาะสม (due care) การดูแลอย่างเหมาะสม (due diligence) มาตรา 6
มองว่ากิจกรรมของหน่วยงานรัฐบาลและมิใช่รัฐบาลไม่มีความแตกต่างกันไม่ว่ากิจกรรมดังกล่าวรัฐจะเป็นเจ้าของหรือเป็นของเอกชน
ข้อความคิด “กิจกรรมแห่งชาติ” ที่พิจารณาขอบเขตของความรับผิดชอบของรัฐ โดยเฉพาะในแง่ของประเภทกิจกรรมของเอกชน
ข้อความคิดดังกล่าวไม่ได้จำกัดกิจกรรมของรัฐในแง่ที่จำกัด
แต่สามารถหมายความรวมกิจกรรมที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับรัฐ
กิจกรรมแห่งชาติรวมสิ่งที่ดำเนินการโดยรัฐเองโดยผ่านหน่วยงานรัฐบาลโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่
สำหรับกิจกรรมของเอกชน แนวปฏิบัติแสดงว่าเกณฑ์เรื่องคนชาติไม่ได้เด็ดขาด
การขาดนิยามความหมายที่ชัดเจนในสนธิสัญญาอวกาศและระดับระหว่างประเทศ
รัฐได้ตีความแนวคิดของกิจกรรมแห่งชาติในกฎหมายภายในประเทศในแง่กว้าง
รวมทั้งกิจกรรมที่ดำเนินการจากอาณาเขตหรือจากเขตอำนาจรัฐโดยคนชาติอื่น
นอกจากนี้
รัฐยังรวมแนวคิดกิจกรรมแห่งชาติที่ดำเนินการโดยคนชาติจากอาณาเขตของรัฐอื่นหรือจาก res communis omnium เช่น
ทะเลหลวงหรือกิจกรรมที่ดำเนินการโดยคนชาติอื่นจากอาณาเขตหรือเขตอำนาจรัฐอื่น
ผลลัพธ์ของการประนีประนอมคือมาตรา 6 กำหนดให้รัฐมีพันธกรณีเฉพาะสำหรับกิจกรรมของหน่วยงานที่มิใช่รัฐบาลที่ต้องมีการได้รับอนุญาตและการควบคุมดูแลอย่างต่อเนื่องโดยรัฐภาคีสมาชิกที่เหมาะสม
เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการให้ความหมาย
รัฐที่เหมาะสม ที่ถือว่ามีความสำคัญในการระบุรัฐที่ต้องรับผิดชอบระหว่างประเทศสำหรับหน่วยงานที่มิใช่รัฐ
แนวทางแก้ไขที่ดีที่สุดในสนธิสัญญาอวกาศ
โดยเฉพาะรับที่เหมาะสมเป็นรัฐที่มีเขตอำนาจรัฐและมีอำนาจควบคุมกำกับเหนือวัตถุอวกาศและบุคลากรบนวัตถุอวกาศในนามของรัฐที่จดทะเบียน
มาตรา 8 ของสนธิสัญญาอวกาศกำหนดว่ารัฐภาคีสมาชิกที่จดทะเบียนวัตถุอวกาศต้องมีเขตอำนาจรัฐและอำนาจควบคุมเหนือวัตถุอวกาศดังกล่าว
บุคลากรบนวัตถุอวกาศ ในขณะที่อยู่ในห้วงอวกาศหรือเทหวัตถุ
ข้อบทดังกล่าวกังวลการใช้อำนาจพิเศษของรัฐผู้ส่งในการจดทะเบียนวัตถุอวกาศและดังนั้นในการใช้เขตอำนาจรัฐและการควบคุมเหนือวัตถุอวกาสดังกล่าว
คำว่า เขตอำนาจรัฐและอำนาจควบคุมเป็นผลลัพธ์จากหลักการไม่อ้างเป็นเจ้าของ (non-appropriation
principle) และการขาดการอ้างไปยังอธิปไตยของรัฐได้
เขตอำนาจรัฐจึงหมายถึงกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับบุคคลและวัตถุ
กฎหมายระหว่างประเทศได้แบ่งแยกระหว่างเขตอำนาจรัฐในเชิงอาณาเขต กึ่งอาณาเขต
และบุคคลไว้ เขตอำนาจรัฐจึงเป็นสิ่งหลักในการตัดสินกฎหมายที่ใช้บังคับ
ความสามารถในการควบคุมมีความหมายมากกว่าความสามารถในทางเทคนิค
การควบคุมหมายความถึงสถานการณ์จริงและการควบคุมดังกล่าวควรได้รับการประกันโดยวิธีการทางเทคนิค
เป็นสิทธิของรัฐที่จดทะเบียนในการรับเอากฎทางเทคนิคเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของวัตถุอวกาศ
และในกรณีที่จำเป็น นำทาง ระงับ ปรับปรุง
และแก้ไของค์ประกอบของวัตถุอวกาศและเป้าหมายใหม่ให้ถูกต้องได้ ทั้งนี้
มีความแตกต่างระหว่างคำว่า ควบคุม บนวัตถุอวกาศ บนส่วนประกอบของวัตถุอวกาศ หรือ
บนบุคลากรบนวัตถุอวกาศในทางเทคนิค คำอธิบายสะท้อนไปยังการจัดตั้งข้อบังคับหลากหลาย
ในการจดทะเบียนตามมาตรา 8 ของสนธิสัญญาอวกาศนั้นประกอบด้วยสามหลักการ
ดังนี้
1) สันนิษฐานว่าวัตถุอวกาศทั้งหมดต้องจดทะเบียนในระดับของประเทศ
2) ในการเริ่มต้นวัตถุอวกาศเหล่านั้นอยู่ภายใต้เขตอำนาจรัฐและการควบคุมดูแลของรัฐที่จดทะเบียน
3) วัตถุอวกาศที่ปลดประจำการต้องส่งกลับรัฐที่จดทะเบียน
อย่างไรก็ตาม
ในขณะที่สนธิสัญญาสันนิษฐานว่าวัตถุอวกาศจะต้องจดทะเบียน
แต่ไม่มีข้อบทใดสำหรับการจดทะเบียน
อนุสัญญาว่าด้วยการจดทะเบียนวัตถุที่ส่งไปสู่อวกาศได้แก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ เงื่อนไขสำคัญของอนุสัญญาประกอบด้วยสามประการ
ประการแรก
อนุสัญญาฯกำหนดให้รัฐผู้ส่งแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุอวกาศแก่นายทะเบียนขององค์การสหประชาชาติ
(United Nations Register)
วัตถุประสงค์ของการระบุวัตถุอวกาศของอนุสัญญาจดทะเบียนดูได้จากอารัมภบทของอนุสัญญาฯที่ระบุว่า
ความปรารถนา (ตามสนธิสัญญาอวกาศ
ข้อตกลงว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือและอนุสัญญาว่าด้วยความรับผิด)
ในการมีข้อบทสำหรับการจดทะเบียนโดยรัฐผู้ส่งวัตถุอวกาศเพื่อให้รัฐมีวิธีการและกระบวนการขั้นตอนเพิ่มเติมในการช่วยเหลือในการระบุวัตถุอวกาศ
โดยใช้ระบบการจดทะเบียนวัตถุอวกาศแบบบังคับ
ประการที่สอง รัฐมีหน้าที่ต้องธำรงรักษาระบบทะเบียนแห่งชาติว่าด้วยวัตถุอวกาศที่ส่งไปสู่อวกาศ
และ
ประการที่สาม
อนุสัญญาฯได้กำหนดกระบวนการขั้นตอนในการะบุวัตถุที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐภาคีสมาชิกหรือคนชาติหรือนิติบุคคลหรืออาจมีลักษณะที่เป็นอันตรายหรือทำให้เกิดความเสียหายได้
อนุสัญญาฯยังกำหนดให้ประเทศที่จดทะเบียนจัดให้มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับวัตถุอวกาศของตนเองอย่างรวดเร็วเท่าที่จะได้ด้วย
ในแง่นี้
รัฐภาคีสมาชิกสนธิสัญญาอวกาศสามารถดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศได้โดยการออกกฎหมายอวกาศแห่งชาติ
กฎหมายภายในประเทศว่าด้วยกิจการอวกาศนี้มักมีสองวัตถุประสงค์ในการอนุวัติการตามพันธกรณีของรัฐและสร้างความชัดเจนถึงกรอบกฎหมายของภาคเอกชน
รัฐควรออกกฎหมายภายในประเทศเพื่ออนุวัตรการและตอบคำถามกิจกรรมอวกาศภาคเอกชนที่ครอบคลุมความรับผิดระหว่างประเทศและผลลัพธ์กฎหมายที่เกิดขึ้น
องค์กรปะกอบสำคัญของกฎหมายอวกาศของประเทศมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ 1) การอนุญาตและการควบคุมกำกับกิจกรรมอวกาศและการจดทะเบียนวัตถุอวกาศ
2) การชดเชย และ 3) ประเด็นสำคัญอื่นๆ
ระดับของกฎหมายเฉพาะขึ้นอยู่กับกิจกรรมอวกาศของหน่วยงานที่มิใช่รัฐบาลที่ดำเนินการโดยคนชาติของรัฐหรือจากอาณาเขตของรัฐ
ด้วยการเติบโตของเศรษฐกิจและการพาณิชย์ในกิจกรรมอวกาศทำให้เกิดการพัฒนากฎหมายอวกาศที่กำกับการดำเนินงานของเอกชนเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศของรัฐคนชาติและรัฐที่มีเขตอำนาจรัฐ
การยอมรับบทบัญญัติกฎหมายของกิจกรรมอวกาศสามารถสร้างประโยชน์แก่ประเทศหลายทาง
รัฐไม่ควรพิจารณาการยกร่างกฎหมายเป็นข้อเสียเปรียบจากการกำกับดูแลกิจกรรมอวกาศที่ดำเนินการโดยเอกชน
แม้กฎหมายจะเปิดเผยความรับผิดชอบอย่างชัดแจ้ง
การดำเนินการออกกฎหมายอวกาศมีประโยชน์
รัฐสามารถอ้างเขตอำนานรัฐและสร้างวิธีการที่เป็นไปได้ในการควบคุมกิจกรรมอวกาศของเอกชน
ในขณะที่การจดทะเบียนวัตถุอวกาศในฐานะรัฐผู้ส่ง รัฐสามารถเน้นย้ำเขตอำนาจและการควบคุมดูแลเหนือวัตถุอวกาศ
แม้ว่าจะมีเอกชนเป็นเจ้าของและดำเนินการ
รัฐหนึ่งรัฐใดสามารถบรรจุบทบัญญัติกฎหมายภายในประเทศเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ
เช่น เงื่อนไขการบังคับให้ทำประกันภัยรวมกับการจำกัดค่าชดเชย
ในการยกร่างกฎหมายอวกาศของประเทศนั้น รัฐสามารถเพิ่มมาตรการเพื่อลดความรับผิดชอบและความรับผิด
เช่น การกำหนดให้มีข้อบังคับว่าด้วยความปลอดภัยและการชดเชยค่าเสียหาย อย่างไรก็ตาม
องค์ประกอบสำคัญในการลดความรับผิดชอบและความรับผิดคือการพิจารณาข้อตกลงระหว่างประเทศกับรัฐผู้ส่งรัฐอื่น
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น
เนื้อหาของข้อมติของที่ประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติและการเจรจาของอนุกรรมาธิการกฎหมายยกร่าง
UNCOPUOS ได้เน้นย้ำความสำคัญของกฎหมายภายในประเทศ ข้อมติที่ 59/115 ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2004 ว่าด้วยการใช้แนวคิดของรัฐผู้ส่ง
(launching State) โดยแนะนำรัฐที่ดำเนินกิจกรรมอวกาศให้พิจารณาออกกฎหมายอนุวัติการเกี่ยวกับการอนุญาตและกำกับดูแลอย่างต่อเนื่องสำหรับกิจกรรมของหน่วยงานที่มิใช่รัฐบาลภายในเขตอำนาจรัฐของตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมติที่ 62/101 วันที่ 17 ธันวาคม 2007 ได้มีข้อเสนอแนะสำหรับการส่งเสริมแนวปฏิบัติของรัฐและองค์การระหว่างประเทศในการจดทะเบียนวัตถุอวกาศและเชิญชวนหน่วยงานดังกล่าวทำให้แนวปฏิบัติสอดคล้องกันโดยให้มีรูปแบบเดียวกันในประเภทของข้อมูลที่กำหนดโดยเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการจดทะเบียนวัตถุอวกาศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น