ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐที่มีอำนาจอธิปไตยมีสิทธิที่จะป้องกันตนเอง (right to self defense) ในกรณีถูกโจมตีด้วยอาวุธ กฎหมายที่ครอบคลุมแหล่งที่มาของการใช้กำลัง หรือ jus ad bellum ที่เกี่ยวข้องแต่แยกจากกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้กำลัง หรือ jus in bello ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะเกิดขึ้น รัฐทุกรัฐถือว่ามีอำนาจอธิปไตยในการใช้กำลังทำหารต่อรัฐอื่นเพื่อปกป้องตนเองจากการกระทำผิดของรัฐอื่นนั้นๆ ในการยกร่างกฎบัตรของสหประชาชาติ รัฐหลายรัฐได้พยายามลดเหตุการณ์ของสงครามโดยการจำกัดสิทธิของรัฐในการใช้กำลังต่อรัฐอื่น แม้ว่ามาตรา 2 (4) ของกฎบัตรของสหประชาติห้ามรัฐสมาชิกจากการใช้หรือคุกคามการใช้กำลังต่อบูรณภาพอาณาเขตหรือความเป็นอิสระทางการเมืองของรัฐใด มาตรา 51 ต้องรักษาสิทธิดั้งเดิมของการป้องกันตนเองของแต่ละรัฐหรือกลุ่มหากการโจมตีทางอาวุธเกิดขึ้นต่อรัฐสมาชิกขององค์การสหประชาติจนกระทั่งสภาความมั่นคงมีมาตรการจำเป็นในการรักษาความสงบและความมั่นคงระหว่างประเทศ
หากตีความตามตัวอักษร มาตรา 51 มีความชัดเจนในเรื่องสิทธิที่จะกีดกันรัฐในการใช้กำลังจนกระทั่งหลังจากการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้นแล้วและไม่เพียงแต่มีภัยคุกคามของการใช้กำลังและยังมีการตีความว่าเป้นสิทธิที่รวมถึงสิทธิดั้งเดิมในการป้องกันตนเองที่มีอยู่เดิมตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ โดยถือว่าเป็นสิทธิป้องกันตนเองแบบการคาดการณ์ได้ในกรณีมีการโจมตีกำลังจะเกิดขึ้น รูปแบบของสิทธิในการใช้กำลังป้องกันตนเองในอาณาเขตของรัฐต่างประเทศกำหนด
ตัวอย่างเช่น ในกรณีแคโรไลน่า กล่าวคือ ในปี 1837 กองกำลังทหารของอังกฤษได้โจมตีเรือเอกชนของสหรัฐอเมริกาชื่อแค่โรไลน่าที่เข้ามาจอดพักในตอนกลางคืนบริเวณแม่น้ำไนแองการ่าของมลรัฐนิวยอร์ก โดยทหารอังกฤษอ้างว่าเรือดังกล่าวถูกใช้ในการจัดส่งเสบียงให้กับกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลอังกฤษในแคนาดาที่ตั้งฐานกองกำลังอยู่มราเกาะอีกฝากหนึ่งในแคนาดา สหรัฐอเมริกาโต้แย้งว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงอย่างมากและเรียกร้องคำขอโทษและค่าชดเชยในความเสียหาย ในการเจรจาทางการทูตกับรัฐบาลอังกฤษ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ นายแดเนียล เว็บเตอร์อ้างว่าการกระทำของอังกฤษเป็นการรุกล้ำดินแดงของมาในอาณาเขตของสหรัฐฯสามารถอ้างเหตุผลป้องกันตนเองได้เพียงในกรณีที่มีความจำเป็นที่ป้องกันตนเองแบบทันท่วงทีเท่านั้น และไม่มีทางเลือกอื่นหรือวิธีการอื่นหรือเวลาในการพิจารณาเป็นอย่างอื่นๆ นอกจากนี้ หากจะสมเหตุสมผล การใช้กำลังป้องกันตนเองต้องได้สัดส่วนต่อภัยคุกคามเพราะการกระทำที่จะถือว่ามีความจำเป็นในการป้องกันตนเองต้องถูกจำกัดโดยความจำเป็นนั้นและมีความชัดเจนอยู่ในตัวเอง ทั้งนี้ มีสามเงื่อนไขที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางประกอบด้วย ความจำเป็น ความได้สัดส่วน และกำลังจะเกิดภัย อันจะให้รัฐอ้างเหตุผลในการใช้สิทธิใช้กำลังนอกอาณาเขตตนเองได้
สหรัฐฯใช้กำลังในการป้องกันตนเองตอบโต้การโจมตีของการก่อการร้ายในอดีตที่ผ่านมาและอ้างสิทธิในการใช้กำลังในกรณีคาดการณ์การโจมตีที่อาจเกิดขึ้น สิทธิในการใช้กำลังในการป้องกันตนเองและการใช้กำลังจริงสมเหตุสมผลตามสถานการณ์ไม่มีความจำเป็นต้องระบุการเกิดขึ้นของความขัดแย้งทางอาวุธแต่ประการใด ตัวอย่างเช่น ในปี 1986 สหรัฐอเมริกาใช้กำลังต่อลิเบียในการตอบโต้ต่อการโจมตีของผู้ก่อการร้ายต่อประชาชนของสหรัฐอเมริกาในกรุงเบอร์ลินซึ่งทั้งลิเบียและสหรัฐอเมริกาไม่ได้ถือว่าเกิดสถานการณ์ที่เพิ่มความขัดแย้งทางอาวุธแค่ประการใด การใช้กำลังต่อกลุ่มก่อการร้ายที่ต้องสงสัยในอัฟกานิสถานและซูดานเพื่อตอบโต้การระเบิดสถานทูตสหรัฐอเมริกาในแอฟริกาไม่ถูกมองว่าเป็นการเกิดขึ้นของสถานการณ์ความขัดแย้งทางอาวุธในขณะเวลานั้นที่จะนำกฎหมายสงครามมาใช้ในสถานการณ์ดังกล่าว หากรัฐเจ้าของอาณาเขตได้ให้ความยินยอมและไม่มีการละเมิดมาตรา 2(4) ของกฎบัตรสหประชาชาติและดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องอ้างทฤษฎีป้องกันตนเอง
ความเป็นไปได้อีกประการหนึ่งคือการแก้ไขความขัดแย้งเรื่องอธิปไตยเพื่ออ้างการใช้กำลังอย่างสมเหตุสมผลโดยปราศจากความยินยอมในอาณาเขตของรัฐอื่นที่ไม่ได้ริเริ่มการโจมตีทางอาวุธเป็นการแทรกแซงที่สมเหตุสมผลบนพื้นฐานที่รัฐที่ถูกบุกรุกหรือได้รับความเสียหายไม่สามารถหรือไม่ยินยอมในการย้ายภัยคุกคามที่กำลังจะเกิดขึ้นจากอาณาเขตนั้น จึงมีการเสนอแนะว่าสิทธิในการแทรกแซงทางทหารในกรณีดังกล่าวจากหลักความเป็นกลางระหว่างสงครามระหว่างรัฐ แต่ในเพื่อวัตถุประสงค์เพื่อสันติภาพ หากการเกิดขึ้นหรือภัยคุกคามไม่ได้ก่อให้เกิดหรือเพิ่มความขัดแย้งทางอาวุธภายในนิยามความหมายของกฎบัตรสหประชาชาติ สิทธิอาจขยายตามแนวคิดช่วยเหลือตนเอง (self help) ในกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งทฤษฎียังไม่ได้รับการยอมรับตามกฎบัตรสหประชาชาติที่อนุญาตให้ใช้กำลัง
ในการตีความในปัจจุบันก็ยังคงไม่ชัดเจนว่าบททดสอบความไม่เต็มใจหรือไม่สามารถจะได้รับการเข้าใจเป็นบททดสอบแยกจากบททดสอบแคโรไลน่าหรือไม่ การพิจารณาเพิ่มเติม เช่น องค์ประกอบความจำเป็นหรือการทดแทนในปัจจัยหนึ่ง เช่น การกำลังเกิดขึ้นของภัยคุกคามกับกรณีภัยคุกคามที่ต่อเนื่อง หากการโจมตีด้วยอาวุธเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มกองกำลังใช้อาวุธที่มิใช่รัฐก่อให้เกิดสิทธิในการป้องกันตนเอง ก็ต้องพิจารณาต่อว่าจะมีเกณฑ์อะไรในการกำกับการใช้กำลังที่เกิดขึ้น บางคนเห็นว่าเงื่อนไข ความจำเป็น ความได้สัดส่วน และภัยที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเกณฑ์ที่สมเหตุสมผลในการใช้กำลังและถือว่าเป็นกรอบกฎหมายที่เพียงพอที่ใช้บังคับตามกฎหมายสงครามที่ใช้ในสถานการณ์ที่มีความเป็นศัตรูกันที่ถือว่าเป็นกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางอาวุธขึ้นแล้วหรือกรอบกฎหมายที่ใช้บังคับกับการบังคับใช้กฎหมายในระหว่างสันติซึ่งใช้กับเหตุการณ์ที่ไม่ใช่ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น